Thursday, April 28, 2016

7 สัญญาณตู้เย็นเสียรีบส่งซ่อม อย่าปล่อยทิ้งไว้นานไม่อย่างนั้นพังแน่ !


        ถ้าตู้เย็นมี อาการเหล่านี้อย่านิ่งเฉยหรือปล่อยทิ้งไว้โดยไม่ดูแล เพราะนั่นแสดงว่าตู้เย็นของคุณมีปัญหาเข้าให้แล้ว แล้วแต่ละอาการบอกอะไรกับเราได้บ้าง วันนี้กระปุกดอทคอมมีวิธีสังเกตปัญหาเบื้องต้นก่อนส่งช่างซ่อมมาบอกค่ะ 

          หลายคนรู้ว่าตู้เย็นผิดปกติ เช่น เสียง ระดับความเย็น หรืออาการอื่น ๆ แต่ไม่ยอมยกไปซ่อมซะทีเพราะเห็นว่ายังใช้งานได้อยู่ โดยไม่รู้เลยว่าความผิดปกติเหล่านั้นเป็นการเตือนให้รู้ว่าถึงเวลาที่ตู้ เย็นควรถูกส่งถึงมือช่างซ่อมได้แล้ว เพราะตอนนี้ระบบภายในกำลังรวน หากปล่อยไว้อาจพังจนใช้การไม่ได้เลยก็ได้นะ มาดูกันว่าความผิดปกติของตู้เย็นมีอะไรบ้าง แล้วแต่ละอาการหมายความว่าอย่างไร จะได้อธิบายให้ช่างฟังได้ถูกต้องและซ่อมได้ตรงจุดมากที่สุด

1. อาหารเสียก่อนวันหมดอายุ

          ถ้าอาหารเสียก่อนวันหมดอายุหรืออาหารสด เช่น ผักกับเนื้อสัตว์เน่าทั้งที่เพิ่งซื้อมา แสดงว่าตู้เย็นของคุณมีปัญหาเข้าให้แล้วล่ะ และอาการนี้ก็เป็นไปได้ว่าตัวควบคุมอุณหภูมิมีปัญหา คอยล์ร้อนมีฝุ่นเกาะ มอเตอร์ทำงานหนัก หรือคอยล์ร้อนร้อนเกินไปนั่นเอง

2. น้ำแข็งเกาะผนังตู้เย็น 

          ถ้ามีน้ำแข็งเกาะตามผนังตู้เย็นด้านในหรือช่องฟรีซทั้งที่เพิ่งละลายน้ำแข็ง ไป สาเหตุมาจากคอยล์เย็นที่อยู่ด้านในของตู้เย็นถูกน้ำแข็งเกาะ เลยส่งผลกระทบต่ออุณหภูมิภายในตู้เย็นและทำให้เกิดน้ำแข็งเกาะเต็มผนัง

3. น้ำแข็งเกาะช่องฟรีซ

          การที่ช่องฟรีซจะเกิดน้ำแข็ง แสดงว่าตู้เย็นจะต้องมีอุณหภูมิที่ต่ำมาก ๆ แต่ถ้าปรับอุณหภูมิของตู้เย็นระดับเย็นน้อยสุดแล้ว ปรากฏว่ายังเกิดน้ำแข็งเกาะช่องฟรีซอยู่ แสดงว่าตู้เย็นอาจจะปล่อยสารทำความเย็นออกมามากเกินไปนั่นเอง

4. ตู้เย็นไม่มีเสียง แต่ไฟยังติดอยู่

          เป็นปกติที่ตู้เย็นจะมีเสียงตลอดเวลา เพราะนั่นแสดงว่าตู้เย็นกำลังทำงานอยู่ แต่ถ้าไม่ได้ยินสียงใด ๆ ออกมาจากตู้เย็นทั้ง ๆ ที่ตอนเปิดตู้เย็นไฟยังสว่าง แสดงว่าคอมเพรสเซอร์อาจจะเสีย สามารถทดสอบได้โดยหมุนปุ่มควบคุมอุณหภูมิไปที่ระดับเย็นสุด ถ้าหากคอมเพรสเซอร์ยังคงไม่มีเสียงอยู่แสดงว่าชำรุดหรือเสียแล้วล่ะ ส่วนอีกวิธีก็คือการละลายน้ำแข็ง แล้วถอดปลั๊กตู้เย็นออกทิ้งไว้ 24 ชั่วโมง จากนั้นเปิดใหม่อีกครั้ง ถ้าคอมเพรสเซอร์ยังทำงาน แสดงว่าอาจจะเป็นเพราะระบบละลายน้ำแข็ง

5. มีน้ำซึมออกจากตู้เย็น

          สาเหตุที่ทำให้น้ำซึมมีหลายสาเหตุด้วยกัน เช่น ประตูปิดไม่สนิทเพราะขอบยางตู้เย็นเสื่อมสภาพ มีน้ำแข็งเกาะมากเกินไป หรือถาดรองน้ำอาจจะรั่วก็ได้ วิธีการแก้ไขสามารถแก้ไขเบื้องต้นได้ โดยแก้ไขตามจุดทำเกิดปัญหา เช่น ถ้าขอบยางเสื่อมสภาพก็ให้เปลี่ยนใหม่ เป็นต้น

6. ช่องฟรีซเย็น แต่ช่องแช่ของไม่เย็น

          ถ้าช่องแช่ของส่วนอื่น ๆ ไม่เย็น มีอุณหภูมิสูงกว่าปกติ ทั้งที่ช่องฟรีซนั้นยังเย็นและทำงานปกติ ในกรณีนี้อาจจะเป็นไปได้ว่าพัดลมของมอเตอร์เสีย ชำรุด หรือเสื่อมสภาพ ซึ่งถ้าเปลี่ยนใหม่ราคาจะแพงพอ ๆ กับราคาของตู้เย็นใหม่เลยทีเดียว 

7. ค่าไฟสูงกว่าปกติ

          ตู้เย็นเป็นเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ค่อนข้างจะกินไฟเยอะ เพราะต้องทำงานตลอดเวลา ยิ่งตู้เย็นที่ผ่านการใช้งานมายาวนานก็ยิ่งกินไฟมาก ฉะนั้นถ้าค่าไฟสูงกว่าเดือนที่ผ่าน ๆ มา ทั้งที่ใช้ไฟตามปกติ แสดงว่าสาเหตุอาจจะมาจากตู้เย็นก็ได้

          อาการบางอย่างเราก็สามารถแก้ไขได้เองเบื้องต้น อย่างเช่น การเปลี่ยนขอบยางตู้เย็น แต่อาการบางอย่างต้องอาศัยความเชี่ยวชาญ หรือไม่ก็ต้องซื้อใหม่ตู้เย็นไปเลย ถ้าไม่เชี่ยวชาญจริง ๆ แนะนำให้เรียกช่างมาซ่อมดีกว่านะคะ เพราะไม่อย่างนั้นอาจต้องซื้อตู้เย็นใหม่เลยก็ได้

ขอขอบคุณข้อมูลจาก hometips, techtalk และ sfgate

Friday, April 22, 2016

9 วิธีใช้แอร์ แบบเย็นใจ สบายกระเป๋า





          ต้อนรับเข้าสู่ฤดูร้อนของเมืองไทยกันอีกครั้ง หลังที่จากปีนี้ฤดูหนาวมาช้า แต่ก็ไม่วายจะต้องร้อนระอุในบางช่วงบางวัน จะให้หนีอากาศร้อนได้อย่างไรคะ ในเมื่อเมืองไทยอยู่ใกล้กับเส้นศูนย์สูตร ฤดูร้อนก็เหมือนจะเป็นฤดูหลักไป ส่วนฤดูฝนและฤดูหนาวเป็นเพียงแค่ลมพัดผ่านสั้น ๆ ในแต่ละปี ยิ่งตอนนี้สภาวะอุณหภูมิโลกสูงขึ้นนั่นหมายความว่าเราจะต้องต้องเจออากาศ ร้อนเพิ่มขึ้นทุกปี การติดตั้งเครื่องปรับอากาศในบ้านจึงเป็นการแก้ปัญหา อากาศร้อนที่หลาย ๆ บ้านขาดไม่ได้ แม้ว่าจะเป็นการเพิ่มค่าใช้จ่ายและเป็นการสิ้นเปลืองพลังงานไฟฟ้า จึงขอแนะนำวิธีใช้แอร์อย่างประหยัดค่าไฟฟ้ามาฝากกันค่ะ

1. ต้องประหยัดไฟเบอร์ 5

          จากสถิติการใช้ไฟฟ้าหลาย ๆ ปีจะพบว่าช่วงเดือนเมษายนจะเป็นช่วงเวลาที่เมืองไทยใช้พลังงานไฟฟ้ามากที่ สุดเสมอ เพราะเป็นช่วงเวลาที่เมืองไทย อากาศร้อนสุด ๆ สถิตินี้สะท้อนให้เห็นแล้วว่าเมืองไทยใช้พลังงานไฟฟ้าเพื่อสร้างความเย็นให้ ที่อยู่อาศัยมากเป็นอันดับต้น ๆ การเลือกแอร์ที่ประหยัดไฟ จึงเป็นปัจจัยแรกที่ควรนึกถึงทุกครั้งที่เลือกซื้อ เป็นที่ทราบกันดีค่ะว่า ฉลากประหยัดไฟเบอร์ 5 เป็นระดับความประหยัดไฟฟ้าสูงที่สุดออกโดยกระทรวงพลังงาน และจะมีตรากระทรวงประทับอยู่บนฉลากเสมอ แอร์ประหยัดไฟเบอร์ 5 จึงเป็นแอร์ที่ควรได้รับการพิจารณาเป็นอันดับต้น ๆ เมื่อเลือกซื้อแอร์ติดตั้งภายในบ้าน ไม่ว่าจะเป็นแอร์แบบฝังในเพดาน แอร์ติดผนัง หรือแอร์เคลื่อนที่

2. ติดตั้งในตำแหน่งที่เหมาะสม

          เป็นเรื่องสำคัญอันดับต้น ๆ สำหรับตำแหน่งการติดตั้งแอร์ เพราะหากอยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสมแล้วจะสามารถลดค่าไฟฟ้าในแต่ละเดือนได้ ตำแหน่งที่เหมาะสมในการติดตั้งแอร์ FCU (ตัวเครื่องที่ติดตั้งภายในห้อง) ในบ้านมีดังนี้

          บริเวณที่ติดตั้งสามารถกระจายลมได้ทั่วถึงทั้งห้อง ไม่มีสิ่งกีดขวาง และไม่ควรติดตั้งในมุมอับ หลีกเลี่ยงการติดตั้ง FCU ในบริเวณที่ใกล้กับประตู หน้าต่าง หรือพัดลมดูดอากาศเพราะจะทำให้อากาศเย็นภายใน ถูกความร้อนภายนอกไหลเข้ามาแทนที่ได้ง่าย

         อย่า ติดชิดผนังที่รับแดดจัด หรือทิศตะวันตก เพราะจะทำให้แอร์ทำงานหนัก ยิ่งเป็นห้องนอนที่ต้องอยู่อาศัยในช่วงเย็นด้วยแล้ว ยิ่งควรหลีกเลี่ยงตำแหน่งดังกล่าว

3. เลือกขนาดที่พอดีกับพื้นที่ภายในห้อง

          อาจจะได้ยินกันมาบ้างสำหรับค่า BTU (British Thermal Unit) คือหน่วยวัดปริมาณความร้อน โดยในเครื่องปรับอากาศจะใช้หน่วยวัดพลังเป็น BTU/hr. (บีทียูต่อชั่วโมง) หรือจะเรียกง่าย ๆ ว่า BTU เทานั้น อาทิ เครื่องปรับอากาศขนาด 12,000 BTU/hr. หมายความว่าเครื่องปรับอากาศเครื่องนี้สามารถดูดความร้อน BTU ภายในหนึ่งชั่วโมง เครื่องปรับอากาศแต่ละรุ่นจะมีค่า BTU ต่างกันเริ่มตั้งแต่ 9,000-80,000 BTU ซึ่งถือเป็นค่าสูงสุด การเลือกขนาด BTU ตามความเหมาะสม ควรเลือกตามขนาดของห้อง สามารถคำนวณโดยใช้สูตร

       พื้นที่ห้อง x ค่า Cooling Load Estimation = ค่า BTU ที่เหมาะสม

       ค่าประเมิน Cooling Load Estimation ที่เหมาะสมกับแต่ละห้อง

       - ห้องนอน 700-750 BTU/ตารางเมตร

       - ห้องนั่งเล่น 750-850 BTU/ตารางเมตร

       - ห้องทานอาหาร 800-950 BTU/ตารางเมตร

       - ห้องครัว 900-1000 BTUตารางเมตร

       - ห้องทำงาน 800-900 BTU/ตารางเมตร

       - ห้องประชุม 850-1000 BTU/ตารางเมตร

          สูตรข้างต้นใช้คำนวณในกรณีที่ความสูงของเพดานที่สูงไม่เกิน 3 เมตรเท่านั้น หากห้องมีความสูงมากกว่าและมีปัจจัยอื่น ๆ เพิ่มขึ้น อาทิ จำนวนผู้อยู่อาศัย เครื่องใช้ไฟฟ้า หรือพื้นที่กระจกภายในห้อง จะต้องบวกค่า BTU เพิ่มด้วย หากเลือกขนาดของ BTU มากติดตั้งในห้องขนาดเล็กก็จะเปลืองพลังงานโดยใช่เหตุ

4. ตั้งอุณหภูมิให้พอเหมาะ

          โดยทั่วไปแล้วเรามักจะเข้าใจว่าอุณหภูมิภายในห้อง ที่เหมาะต่อการอยู่อาศัยอยู่แล้วรู้สึกสบายนั้น จะอยู่ที่ 25-26 องศา หากเกินนี้จะรู้สึกร้อนเกินไป แต่หากเลือกเปิดแอร์ที่อุณหภูมิ 28-30 องศา แล้วเลือกเปิดพัดลมเพื่อเพิ่มความเร็วลมในห้อง เราจะยังรู้สึกเย็นสบายอยู่เช่นเดิมและช่วยประหยัดพลังงานได้มากเพราะ เครื่องปรับอากาศจะทำงานเบาลง หากเป็นช่วงเวลานอนควรตั้งอุณหภูมิไว้ ไม่ต่ำกว่า 28 องศา เนื่องด้วยในช่วงเวลาที่เราหลับร่างกายจะไม่สามารถปรับอุณหภูมิตามสภาพอากาศ ได้จึงควรตั้งอุณหภูมิที่สูงไว้ เป็นการช่วยประหยัดพลังงานได้อีกทาง

5. เครื่องใช้ไฟฟ้า เอามันออกไป

          เครื่องใช้ไฟฟ้าที่ไม่จำเป็นต้องอยู่ในห้อง อย่างเช่น ตู้เย็น เครื่องทำน้ำร้อน เครื่องถ่ายเอกสาร หม้อ หุงข้าว เครื่องชงกาแฟ กาต้มน้ำไฟฟ้า รวมทั้งการเปิดไฟมากเกินความจำเป็น คือสาเหตุหนึ่งที่ทำให้อุณหภูมิห้องสูงขึ้นและทำให้เครื่องปรับอากาศต้องทำ งานหนักขึ้นด้วย ดังนั้นชิ้นไหนไม่จำเป็น จึงควรย้ายออกจากห้องและควรเปิดไฟแต่พอดี เพื่อให้ห้องเย็นสบาย

6. งดกิจกรรมทำความร้อน

          อ๊ะ !! อย่าคิดลึกนะคะ กิจกรรมทำความร้อนที่ว่า คือการสูบบุหรี่ภายในห้องปรับอากาศ เนื่องด้วยการสูบบุหรี่ในห้องปรับอากาศจะต้องเปิดพัดลมระบายอากาศเพื่อระบาย ควันและกลิ่นออกจากห้อง การถ่ายอากาศส่วนหนึ่งออกจากห้องและปล่อยให้อากาศภายนอกเข้ามาทดแทนจะทำให้ เครื่องปรับอากาศทำงานหนักขึ้น เพี่อปรับอุณหภูมิภายในห้องให้เย็นเท่าเดิม

7. เสื้อผ้าใส่สบายเข้าไว้

          เคยเห็นกันบ้างใช่ไหมคะ ออฟฟิศบางแห่งตั้ง อุณหภูมิห้องไว้ที่ 20 องศาแล้วบางท่าน (โดยเฉพาะ คุณผู้หญิง) ต่างโหมประโคมใส่เสื้อผ้าชุดกันหนาว ประดุจดั่งอยู่เมืองนอกเมืองนา บ้างก็ใส่สูทตัวหนาเพื่อให้ร่างกายอบอุ่น ซึ่งทั้งหมดที่กล่าวมานั้น เป็นตัวอย่างที่ไม่ดีมาก ๆ ค่ะ เพราะเป็นการสิ้นเปลืองพลังงานโดยใช่เหตุ เราสามารถปรับอุณหภูมิให้อยู่ที่ 25 องศาแล้วใส่ เสื้อผ้าสบาย ๆ ให้ได้รับความเย็นที่กำลังพอดีได้ ในบ้านก็เช่นกันหากเลือกใส่เสื้อผ้าที่สบาย ๆ แล้วเราตั้งอุณหภูมิไว้ที่ 28 องศา จะช่วยประหยัดค่าไฟฟ้าไปอีกแรง

8. ผ้าม่านช่วยได้เยอะ

          ไม่ใช่แค่ความสวยงามเท่านั้น ผ้าม่านยังทำหน้าที่กันความร้อนอีกชั้นไม่ให้เข้าสู่พื้นที่ภายในบ้าน โดยทั่วไปแล้วม่านหน้าต่างจะนิยมติดตั้ง 2 โดยชั้นแรกจะเป็นม่านกรองแสงที่ช่วยบังตาจากภายนอก ส่วนอีกชั้นจะเป็นผ้าม่านหนาที่นอกจากจะช่วยสร้างความงามให้ห้องด้วยลวดลาย สีสันที่หลากหลายแล้ว ม่านหนานี้ยังทำหน้าที่กันความร้อนจากภายนอกไม่ให้เข้าสู่ภายในห้องโดยตรง ยิ่งปัจจุบันผ้าม่านมีนวัตกรรมมากมายทั้งเก็บความเย็นภายในบ้าน ป้องกันแสงยูวี และอายุการใช้งานก็คงทนลวดลายคงอยู่ยาวนานด้วย

9. ธรรมชาติมอบสิ่งดี ๆ เสมอ

         ที่สุดแล้วคนเราคงหนีธรรมชาติไม่พ้น และต้นไม้ก็เป็นอีกสิ่งมีชีวิตบนโลกที่ช่วยเราได้หลาย ๆ เรื่อง ทั้งเรื่องอากาศบริสุทธิ์ สร้างความร่มรื่น และยังช่วยบังความร้อนจากแสงอาทิตย์ หากปลูกต้นไม้รอบ ๆ บ้านแล้ว จะช่วยให้เราลดการใช้เครื่องปรับอากาศได้มาก หากบ้านไหนมีต้นไม่ใหญ่ปลูกเป็นสวนร่มรื่นด้วยแล้ว แทบจะไม่ต้องพึ่งพลังงานเครื่องปรับอากาศกันเลยทีเดียว และวิธีนี้เป็นทางออกสันติวิธีที่นอกจากจะช่วยให้บ้านเย็นแล้ว ยังช่วยให้อุณหภูมิโลกเย็นลงด้วย


เรื่อง : ยุกาวตี บญกา 
ขอขอบคุณข้อมูลจาก
Life & Home
No.219 มีนาคม 2556
http://home.kapook.com/view59556.html



Monday, April 18, 2016

15 วิธีคลายร้อนให้บ้านของคุณ




        วิธีคลายร้อนให้บ้าน วิธีลดอุณหภูมิร้อนระอุในบ้าน ให้เย็นสดชื่น พร้อมช่วยลดการใช้พลังงานไปในตัว เพื่อให้บ้านของเรากลับมาน่าอยู่อีกครั้ง

          ช่วงนี้อากาศร้อนขึ้นเรื่อย ๆ จนแทบจะทำให้หลาย ๆ คนเลือกที่จะอยู่แต่ในบ้าน เพื่อให้ไม่ต้องไปเจอกับแดดร้อน ๆ ที่เผาจนผิวแทบไหม้ในตอนกลางวัน แต่อย่างไรก็ตาม การทำเช่นนั้นก็อาจทำให้เราต้องช็อกกับบิลค่าไฟที่พุ่งสูงขึ้นจนน่าตกใจจาก การเปิดแอร์ทั้งวันได้เช่นกัน

          ดังนั้น วันนี้กระปุกดอทคอมจึงขออาสานำเคล็ดลับดี ๆ ในการคลายร้อนให้กับบ้านของคุณโดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายมากมายมาฝาก ลองไปอ่านกันดูเลย...

          1. เปลี่ยนผ้าม่านของคุณเป็นม่านแบบโซล่าร์ ซันสกรีน ชั่วคราว เพื่อจะได้ช่วยกันแสงแดดได้ดีขึ้น ในขณะที่สามารถถ่ายเทอากาศได้ดีเหมือนเดิม

          2. ใช้ฟิล์มกรองแสงเคลือบหน้าต่างห้องที่อยู่ทางทิศตะวันตกและตะวันออก เพื่อกันแสงแดดแรง ๆ ที่จะส่องเข้ามาในบ้าน

          3. ติดกันสาดเฉียงประมาณ 45 องศาบริเวณหน้าต่าง เพื่อลดแสงแดดที่เข้ามาในห้องได้ถึง 65 - 77 %

          4. เลือกใช้หลังคาสีอ่อนและพ่นฉนวนกันความร้อนอีกชั้น จะช่วยกันความร้อนที่แผดเผาเข้ามาผ่านหลังคาได้ดีขึ้น

          5. ใช้สีสว่าง เช่น สีขาวแต่งห้อง จะได้ไม่ดูดความร้อนเหมือนสีเข้ม ๆ เช่น สีดำ

          6. ปลูกต้นไม้บริเวณหน้าบ้าน และหาไม้ประดับเล็ก ๆ มาไว้ในบ้าน โดยเฉพาะในห้องที่อยู่ทิศตะวันออก และทิศตะวันตก เพื่อให้อากาถ่ายเทได้มากขึ้น

          7. ทำความสะอาดฟิลเตอร์แอร์เป็นประจำ อย่างน้อยเดือนละครั้ง เพื่อให้แอร์ของคุณทำงานได้ดี โดยเฉพาะในช่วงที่อากาศร้อนเป็นพิเศษ

          8. เลือกซื้อพัดลมแบบติดเพดาน อากาศในห้องจะได้ถ่ายเททั่วถึงมากขึ้น โดยไม่ทำให้ค่าไฟพุ่งสูงมากนัก

          9. ใช้หลอดไฟแบบตะเกียบ เพื่อเป็นการประหยัดพลังงาน ซึ่งจะช่วยให้ความร้อนในห้องลดลงด้วย

         10. พยายามอย่าเปิดหน้าต่างในช่วงกลางวัน ลมร้อนจากข้างนอกจะได้ไม่เข้ามาสะสมภายในบ้าน

          11. หากคุณไม่คิดจะเปิดแอร์ตอนกลางคืน ก็ควรเปิดหน้าต่างไว้ เพื่อให้ลมเย็นในช่วงกลางคืนเข้ามาในบ้าน

          12. อย่านำเครื่องใช้ไฟฟ้าอื่น ๆ เช่น โทรทัศน์ไปไว้ใกล้ ๆ เครื่องปรับอากาศ เพราะจะทำให้เครื่องปรับอากาศต้องทำงานหนักขึ้น จนประสิทธิภาพลดลง

          13. พยายามใช้ไมโครเวฟ หรือเครื่องปิ้งขนมปัง แทนเตาแก๊ส ที่จะทำให้ไอร้อนอบอวลอยู่ในบ้าน

          14. เปิดประตูห้องน้ำ และห้องนอน ไว้เสมอ จะช่วยให้อากาศในบ้านถ่ายเทมากขึ้น

          15. ใช้กระเบื้อง หรือหินอ่อนปูชั้นล่าง เพราะกักเก็บความเย็นจากพื้นดินได้เป็นอย่างดี


          เพียงแค่ทำตาม 15 เทคนิคง่าย ๆ นี้ ก็จะช่วยให้บ้านของคุณคลายร้อนลงได้มาก ลองเลือกดูข้อที่เหมาะสมกับบ้านของคุณ แล้วนำไปลดความร้อนให้บ้านกันนะจ๊ะ


** หมายเหตุ : แก้ไขข้อมูลล่าสุด วันที่ 1 เมษายน 2556 เวลา 15.18 น.

http://home.kapook.com/view59233.html
เครดิตภาพ  https://www.pinterest.com/explore/white-roses/

Tuesday, April 12, 2016

15 ทริครีเฟรชบ้านให้สดชื่น จนลืมอากาศร้อน ๆ ไปเลย !


       ทริคดี ๆ ที่ช่วยเปลี่ยนบ้านร้อนในช่วงหน้าร้อนนี้ ให้กลับมามีบรรยากาศที่สดชื่นสดใส ไม่ต้องนั่งทุกข์กับความร้อนอีกต่อไป ส่วนจะมีทริคไหนน่าสนใจบ้างก็ตามไปดูวิธีทำให้บ้านเย็นกันเลยค่ะ

        แม้ว่าอากาศร้อนจะส่งผลกระทบต่อหลายสิ่งหลายอย่างบนโลกใบนี้ แต่ยังมีสิ่งหนึ่งที่ความร้อนไม่สามารถทำอะไรนั่นก็คือบ้านของเรา เพราะในวันนี้กระปุกดอทคอมได้รวบรวมนำเอาทริคดี ๆ ที่ช่วยเปลี่ยนบ้านร้อน ๆ ให้มีบรรยากาศสดชื่น แม้จะต้องเผชิญกับภาวะอากาศร้อนขนาดไหนก็ไม่หวั่น เอาเป็นว่าจะรอช้ากันอยู่ทำไมรีบไปดูกันเลยดีกว่าว่า เราจะเปลี่ยนบ้านที่ใกล้จะเป็นเตาอบให้น่าอยู่ขึ้นได้ยังไงบ้าง ?

1. ทำความสะอาดหน้าต่างบ้าน

          ถ้ามัวแต่ให้ความสำคัญกับการทำความสะอาดส่วนต่าง ๆ ของบ้านจนลืมหน้าต่างไปก็ใช่ว่าจะดี เพราะมันจะทำให้บรรยากาศบ้านในฤดูร้อนดูไม่สดชื่นสดใสเอาซะเลย ดังนั้นก็อย่าลืมทำความสะอาดทั้งขัดและถูหน้าต่างให้พร้อมเปิดรับลมธรรมดาเข้ามาในบ้านกันด้วยนะคะ

          - วิธีเช็ดกระจก ให้ใสปิ๊ง ในเวลาอันรวดเร็ว

2. ติดตั้งพัดลมเพดานพัดอากาศให้หมุนเวียน

          พัดลมเพดานมีประโยชน์ในช่วงหน้าร้อนเป็นอย่างมาก เพราะมันจะช่วยพัดอากาศร้อน ๆ ที่อยู่รอบตัวเราให้ลอยตัวสูงขึ้นและพัดผ่านออกไปทางหน้าต่าง อากาศเย็นก็จะเข้ามาแทนที่ทำให้มีอากาศหมุนเวียนอยู่ภายในบ้านเสมอ และทำให้เย็นเร็วกว่าพัดลมตั้งโต๊ะทั่ว ๆ ไปอีกด้วย

3. เน้นใช้สีสันของดอกไม้

          เมื่อพูดถึงหน้าร้อน สีสันสดใสของดอกไม้ก็พลันแล่นเข้ามาในความคิดทันที ฉะนั้นจะปล่อยให้บ้านดูจืดชืดไปกับสีทาบ้านแบบพื้น ๆ ไม่ได้ ให้หาดอกไม้สดประจำฤดูมาตกแต่งตามมุมต่าง ๆ ของบ้าน เพื่อเพิ่มสีสันและชีวิตชีวาให้บ้านดูสดชื่นขึ้นมา ก็ช่วยลดความร้อนได้เหมือนกัน

4. เติมกลิ่นหอมให้บ้านในช่วงหน้าร้อน

          ไม่เพียงแต่การตกแต่งจะทำให้บ้านสดชื่นในช่วงหน้าร้อนได้อย่างเดียวเท่านั้น แต่เรายังสามารถอาศัยกลิ่นหอม ๆ ช่วยเสริมบรรยากาศในบ้านให้ดีขึ้นได้อีกด้วย โดยการให้หาเครื่องหอมหรือน้ำมันหอมระเหยกลิ่นมะนาวหรือกลิ่นมินต์มาติดบ้านไว้ เพราะเป็นกลิ่นที่ช่วยให้รู้สึกสดชื่นท่ามกลางอากาศที่ร้อนระอุแบบนี้ได้ดีทีเดียว

5. ใช้ของแต่งบ้านที่มีสีสันสดใส

          ข้อนี้คงเป็นอีกหนึ่งทางเลือกสำหรับคนที่ไม่สามารถแต่งบ้านด้วยดอกไม้ได้ นั่นก็คือ ให้ใช้ของตกแต่งที่มีสีสันสดใส อย่างเช่น ผ้าปูโต๊ะสีเหลือง จาน-ชามสีชมพู หรือผนังบ้านสีเขียว ช่วยปรับบรรยากาศให้ดูสนุกสนานได้

6. ประดับต้นไม้ใบเขียวให้สดชื่น

          ปัญหาบ้านร้อนที่ใคร ๆ ก็กังวลจนต้องลงทุนไปปรึกษานักออกแบบเพื่อรีโนเวทใหม่ พอเอาเข้าจริง ๆ แล้วไม่ต้องทำถึงขนาดนั้นก็ได้ แค่นำต้นไม้ใบเขียวต้นเล็กหรือต้นใหญ่ตามแต่ถนัดมาประดับไว้ในมุมต่าง ๆ ของบ้าน เพราะนอกจากจะทำให้อุณหภูมิในบ้านลดลงได้แล้ว มันยังช่วยผ่อนคลายสายตาและความรู้สึกของคนในบ้านได้อีกด้วย

7. จัดเก็บข้าวของในบ้านให้เป็นระเบียบ

          สภาพอากาศก็มีผลต่อภาวะอารมณ์และจิตใจของคนอย่างยิ่ง ยิ่งอากาศร้อนมาก ๆ ก็จะทำให้หงุดหงิดง่ายขึ้น ฉะนั้นข้าวของที่รกรุงรังอยู่ในบ้านที่เห็นแล้วไม่สบายตาไม่สบายใจก็ควรหาเวลาจัดระเบียบเก็บเข้าที่ให้เรียบร้อยจะได้ไม่ทำให้เราหงุดหงิดง่ายไปกันใหญ่

8. แต่งบ้านด้วยวัสดุธรรมชาติ

          วัสดุแต่งบ้านบางชนิดอย่างเช่น โลหะและพลาสติก อาจจะทำให้บ้านแลดูร้อนและทึบไปหน่อย หากมีโอกาสได้รีโนเวทบ้านใหม่ลองเลือกใช้งานวัสดุที่มาจากธรรมชาติดูบ้าง เช่น ไม้ กระดาษ หรือแม้กระทั่งน้ำ เพราะมันจะช่วยสร้างชีวิตชีวาทำให้บ้านดูสดชื่นเหมือนอยู่ท่ามกลางธรรมชาติอย่างไรอย่างนั้นเลยล่ะ

9. นำแสงแดดมาใช้ประโยชน์

          รู้หรือไม่ว่าแสงแดดร้อน ๆ ที่เราเบื่อหน่ายกันอยู่ทุกวัน มันสามารถนำมาทำประโยชน์ให้กับบ้านได้ด้วยนะ เพียงแค่นำของใช้ที่ต้องเผชิญกับความอับชื้น เช่น หมอน ที่นอน กระเป๋า รองเท้า และอื่น ๆ มาตากแดดก็จะช่วยลดแบคทีเรียและทำให้บรรยากาศบ้านสะอาดสดชื่นไม่มีกลิ่นอับกวนใจในหน้าร้อน

10. เปลี่ยนผ้าม่านทึบให้เป็นม่านโปร่งสบาย

          ปลดเถอะค่ะปลดด่วน ! ผ้าม่านหน้าต่างผืนหนาดูหนัก ๆ สไตล์ยุโรปเนี่ยควรจะถูกปลดลงได้แล้ว เพราะมันจะทำให้บรรยากาศในบ้านยิ่งร้อนอบอ้าวเข้าไปใหญ่ เปลี่ยนมาใช้ผ้าม่านแบบพลิ้ว ๆ โปร่ง ๆ ที่สามารถเปิดทางให้ลมและแสงลอดผ่านมาได้ ก็จะทำให้ดูสบายตาสบายใจขึ้นมาทันที

11. เน้นใช้ผ้าทอ

          สารพัดของแต่งบ้านหรือของใช้ภายในบ้านที่เป็นผ้าหนาอยู่แล้วนั้น อาจจะยังไม่ค่อยเหมาะกับหน้าร้อนเท่าไร แนะนำให้ลองเปลี่ยนมาใช้เป็นผ้าชนิดทอจะดีกว่า เช่น พรมปูพื้นแบบทอเนื้อบาง ผ้าม่านหน้าต่างและผ้าม่านกั้นพื้นที่ หรือผ้าปูโต๊ะอาหาร ที่ให้ความรู้สึกโล่งและโปร่งสบาย

12. เปลี่ยนมาใช้หน้าต่างกระจกใสแทนวัสดุทึบแสง

          เมื่อหน้าร้อนมาเยือนก็ไม่จำเป็นว่าจะต้องปิดบ้านให้ทึบป้องกันแสงเสมอไป เพราะในบ้านยังมีบางจุดที่ลมประจำฤดูจะผ่านเข้ามาทำให้บ้านเย็นสบายไม่ร้อน ดังนั้นหากเป็นไปได้ให้เปลี่ยนหน้าบ้านตรงจุดนั้นให้เป็นกระจกใสจะดีกว่า นอกจากจะทำให้บ้านรับลมได้ถนัดแล้วมันยังทำให้บ้านแลดูโล่งไม่อึดอัดในช่วงอากาศร้อน ๆ แบบนี้ด้วย

13. เติมชีวิตชีวาให้เฟอร์นิเจอร์เสียหน่อย

          เฟอร์นิเจอร์เก่าสภาพชำรุดก็มีผลทำให้บ้านดูน่าเบื่อและไม่น่าอยู่ ถ้าอย่างนั้นมาหาทางออกด้วยการนำเฟอร์นิเจอร์พวกนั้นมา DIY ซะใหม่ ไม่ว่าจะทาสีให้สดใสสไตล์พาสเทลหรือจะจัดตำแหน่งใหม่ก็ได้ค่ะ บ้านก็จะดูสดชื่นมีชีวิตชีวาขึ้นมาอีกครั้ง

14. แต่งบ้านด้วยงานศิลปะที่ดูสดใส

          ใครที่ชอบแต่งบ้านด้วยผลงานศิลปะอยู่แล้วก็ถือเป็นเรื่องดีเลย แต่เพียงแค่ต้องปรับเปลี่ยนให้เข้ากับฤดูร้อนก็เท่านั้นเอง เพราะผลงานศิลปะบางผลงานให้ความรู้สึกอึมครึมหรือเศร้าหมองเหมาะกับหน้าหนาวมากกว่า แนะนำให้เปลี่ยนเป็นผลงานศิลปะที่ดูมีสีสันสดใสสมกับเป็นฤดูร้อน ก็จะทำให้บ้านน่าอยู่ขึ้นเยอะเลยค่ะ

15. เลือกแต่งบ้านในธีมทะเล

          เมื่ออากาศร้อนมาเจอกับบรรยากาศทะเลสวย ๆ ก็ทำให้เราสดชื่นท่ามกลางความร้อนได้ เอาเป็นว่าใครที่ไม่รู้ว่าจะจัดบ้านอย่างไรให้เหมาะกับหน้าร้อน แนะนำให้ลองหยิบธีมทะเลมาแต่งบ้านดูสิคะ ไม่ว่าจะเป็นเปลือกหอย สีสันของภาพน้ำทะเล หรือผ้ามัดย้อมเก๋ ๆ ก็จะทำให้บ้านดูสดชื่นตลอดเวลาแม้ว่าอากาศจะร้อนเพียงใดก็ตาม

          เมื่อรู้อย่างนี้แล้วก็อย่าลืมนำทริคเสกบ้านให้สดชื่นในช่วงหน้าร้อนนี้ไปใช้กันดู จะได้ไม่ต้องปรับเปลี่ยนอะไรในบ้านให้มันยุ่งยากจนเกินไป หรืออาจถึงขั้นลามไปถึงเรื่องเสียเงินก้อนใหญ่ไปเลยก็ได้นะคะ

ขอขอบคุณข้อมูลจาก sheknows, wikihow และ stylecaster
เครดิตภาพ  https://www.pinterest.com/pin/80220437099553894/

Monday, April 11, 2016

เลือกซื้อบ้านอย่างไรให้ได้บ้านโดนใจ สิ่งที่ต้องดูมากกว่าทำเลและแบรนด์





       แบ่งปันประสบการณ์การเลือกซื้อบ้านให้โดนใจ โดยการพิจารณารายละเอียดต่าง ๆ ที่นอกเหนือไปจากทำเลและแบรนด์ เลือกซื้อบ้านอย่างไรให้โดนใจ ? ผู้หญิงคนนี้มีคำตอบมาฝากค่ะ


        มีแค่เงินซื้อบ้านอย่างเดียวคงไม่พอ เพราะบ้านที่ดีไม่ใช่แค่บ้านที่มีทำเลเจ๋ง ๆ หรือดูแลโดยแบรนด์ดังเท่านั้น แต่ควรจะเป็นบ้านที่ถูกใจเจ้าของบ้านด้วย จึงจะทำให้ผู้อยู่อาศัยมีความสุขอย่างแท้จริง ซึ่งคุณ kiwimissie สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม จะมาแบ่งปันประสบการณ์วิธีเลือกซื้อบ้านอย่างไรให้โดนใจ พร้อมกับรายละเอียดต่าง ๆ ก่อนตัดสินใจซื้อบ้าน ที่นอกเหนือจากคำว่าทำเลและแบรนด์ค่ะ
 

[แบ่งปันประสบการณ์] เลือกซื้อบ้านอย่างไรให้ได้บ้านโดนใจ โดย คุณ kiwimissie

        จากประสบการณ์ส่วนตัวนะคะ เผื่อจะมีประโยชน์ในการเลือกซื้อบ้าน มีอีกหลายสิ่งที่มากกว่าคำว่า "ทำเล" และ "แบรนด์" ค่ะ

1. ทำเลที่ตั้งโครงการ

        อันนี้ก็คงไม่พ้นเป็นสิ่งสำคัญต้น ๆ ของการตัดสินใจ อยู่ใกล้ที่ไหน สะดวกที่ไหน ลองวนรถดูนะคะ วนเข้า-วนออก ยูเทิร์น ลองวิ่งวันธรรมดา วันเสาร์-อาทิตย์ ลองวิ่งหลาย ๆ ช่วงเวลาดูว่า "สะดวก" อย่างที่บอกจริงไหม สำหรับคนที่แพลนจะมีลูก ลองดูว่ามีโรงพยาบาล โรงเรียน ระบบขนส่งมวลขนที่โอเคไหม และถ้าเขาจะขับรถ มันอันตรายไหม (เช่น มีแยกวงเวียน หรือทางหลักทางรองที่ต้องอาศัยจังหวะชั้นสูงในการเปลี่ยนเลนก่อนเข้าหมู่บ้านไหม)

2. ทำเลของบ้านในโครงการ

        เข้าไปลึกไหม ผ่านประตูกี่ชั้น เลี้ยวกี่ครั้ง ถ้าอีกหน่อยมีลูกลูกจะกลับบ้านคนเดียวได้ไหม เดินจากหน้าโครงการไกลมั้ย บ้านที่เราดูติดรั้วกำแพงไหม ข้างบ้านเป็นใคร รอบ ๆ รั้วโครงการเป็นอะไร ระบบป้องกันการบุกรุกของรั้วโครงการเป็นอย่างไร กำแพงสูงกี่เมตร มีกล้องวงจรปิดไหม ถามให้ละเอียด แต่ละโครงการมีระบบป้องกันการบุกรุกไม่เหมือนกันค่ะ

        หมายเหตุ : เดี๋ยวนี้โครงการบ้านมีระดับหน่อยจะไม่นิยมสร้างบ้านติดรั้วกำแพง ส่วนมากมีถนนกันก่อนถึงรั้วบ้าน แต่ความเห็นส่วนตัวเรานะ ถนนไม่ได้ช่วยอะไรเลย เพราะ รปภ. ก็ไม่ได้อยู่ตลอดเวลา โฟกัสที่ระบบป้องกันดีกว่าค่ะ มีกล้องไหม มีรั้วหนามไหม ด้านหลังติดตั้งรั้วหนามอย่างไร ที่ดินเราสูงกว่าที่ดินรั้วโครงการเท่าไร ปีนมาจากนอกรั้วได้ไหม ฯลฯ อย่าชะล่าใจนะคะ หมู่บ้านใหญ่ ๆ ขโมยขึ้นดีนักแล ไม่ค่อยอยู่กันเท่าไร แถมขึ้นทีเดียวคุ้ม !

3. พื้นที่ทั้งหมดของโครงการ vs จำนวนหลังคาเรือน vs พื้นที่สีเขียว (ส่วนกลาง)

        อยากอยู่กับคนเยอะ ๆ หรือน้อย ๆ เป็นเรื่องของความชอบและความพึงพอใจของแต่ละบุคคล แต่ที่ควรจะคิดเผื่อคืออัตราส่วนพื้นที่ทั้งหมดต่อจำนวนบ้าน ยกตัวอย่าง โครงการ 300 ไร่ มีบ้าน 300 หลังกับโครงการ 300 ไร่ มีบ้าน 500 หลัง ก็บ่งบอกขนาดของบ้านและความแออัดได้ระดับหนึ่ง อีกอย่างที่ควรคำนึงคือพื้นที่ส่วนกลาง สโมสร พื้นที่สีเขียว ว่าเพียงพอต่อจำนวนลูกบ้านในโครงการหรือไม่ ข้อมูลเหล่านี้เซลส์รู้นะคะ ถึงไม่รู้นางก็ไปหาข้อมูลมาได้ ถามไปเลยค่ะ ถ้าดีจริงรับรองเซลส์ไม่พลาดที่จะพรีเซ็นต์แน่นอน

4. Facility ต่าง ๆ

        จะสระน้ำ (คลอรีนหรือน้ำเกลือ) สนามบาส สนามเทนนิส สวน ซาวน่า ฟิตเนส ฯลฯ แวะไปดูบ้างนะคะ ถึงไม่ได้ใช้ก็แวะไปดูค่ะ มันมีมูลค่าต่อราคาประเมินที่ดินว่าเขาพัฒนาขึ้นมาจากที่ดินรอบ ๆ โครงการมากน้อยแค่ไหน

5. ระดับความสูงของโครงการ vs ถนน [เผื่อน้ำท่วมค่ะ (ฮา)]

6. ระบบสายไฟฟ้า–ลงดินไหม ?

        (อยากได้แบบไหนก็ตามสะดวกค่ะ) ไฟกี่เฟส (เวลาไฟดับจะได้ไม่ดับทั้งหลังนะคะ)

7. ถนนในโครงการ

        ถนนในโครงการเป็นคอนกรีตหรือลาดยาง ส่วนตัวเราชอบถนนลาดยางนะ มันให้ความรู้สึกนุ่มเวลาขับอะ เคยอยู่หมู่บ้านถนนคอนกรีตมาช่วงหนึ่ง หูย...ยิ่งถ้าบ้านอยู่ลึก ๆ แล้วถนนเริ่มเก่านี่สั่นสะท้านเลยทีเดียว

8. ประตูรั้วโครงการ

        พูดจริงนะ ลองดูว่ามันใหญ่พอรองรับจำนวนบ้านในนี้ไหม บางโครงการบ้าน 200+ หลัง ประตูโครงการเล็กนิดเดียว เวลาเจอรถผู้มาติดต่อรอแลกบัตรแล้วละก็...หึหึหึ ต่อคิวกันเป็นสิบ ๆ คัน จะแซงก็ไม่ได้เน้อ (เจอครั้งสองครั้งตอนมาดูบ้านอาจจะยังไม่รู้สึก ลองคิดภาพว่าเจอทุกวัน เหนื่อยเลยนะคะ บ้านอยู่แค่เอื้อมจะได้กลับไปนอนกลิ้งกลับต้องมาติดเข้าบ้านไม่ได้)

9. จะซื้อบ้านแต่งเองหรือบ้านพร้อมเฟอร์นิเจอร์

        ทีแรกเราก็อยากได้บ้านแต่งเองนะ มันคงมุ้งมิ้งฟรุ้งฟริ้งมาก แต่พอมานั่งนิ่ง ๆ ค่อย ๆ คิดดูแล้ว งานช้างนะคะ แต่งเองก็ใช่ว่าจะได้ดั่งใจ 100% (จากประสบการณ์ตัวเอง) สุดท้ายมันก็ต้องมีอะไรที่เราคิดไม่ถึงอยู่ดี ดังนั้นรอบนี้เราเลยเปลี่ยนใจกลางทาง กลับมาดูบ้านพร้อมเฟอร์นิเจอร์อีกรอบ เอาที่ชอบสัก 80% ก็ฟินแล้ว

        ทั้งนี้บ้านพร้อมเฟอร์นิเจอร์อาจจะราคาสูงหน่อย เพราะเฟอร์เหล่านี้โครงการจ้างผู้รับเหมาต่อมาอีกที ราคาจริงอาจจะ 100 บาท บวกค่าดำเนินการอีกสัก 15%  (ซึ่งถ้าเราทำเองก็ไม่ต้องเสียเงิน แต่เสียเวลาแทน ลองชั่งใจดูนะคะ)

        แต่อย่าลืมค่ะว่าเรามีไม้เด็ด "ค่าเสื่อมสภาพ" ค่ะ หักไปเลยค่ะ ยิ่งสร้างบ้านพร้อมเฟอร์นิเจอร์มานาน นานนมจนเป็นบ้านตัวอย่างมีคนมาดูแล้วมากมาย ต่อไปเลยค่ะ หลักการบัญชีค่าเสื่อมอย่างไรก็อย่างนั้น ไม่ว่าเซลส์จะพูดอย่างโน้นอย่างนี้ เราเน้นหลักการบัญชีค่ะ บริษัทแม่เค้าก็มองอย่างนี้เหมือนกัน อย่าไปหลงคารมเซลส์นะคะ ^^  บ้านพร้อมแต่งย่นระยะเวลาได้ค่ะ เราซื้อความสุขมา ณ ปัจจุบันได้โดยไม่ต้องปวดหัว เผื่อลองพิจารณาดูนะคะ

10. บ้านอยู่ในสภาพพร้อมอยู่จริงไหม

        ต้องติดแอร์ ติดเครื่องทำน้ำร้อน/น้ำอุ่น มุ้งลวด ไฟสนาม ฯลฯ อะไรเพิ่มอีกไหม?  ค่อย ๆ นึกค่ะ ส่วนมากโครงการจะทำให้ไม่หมดหรอกค่ะ มักจะเว้นนั่นนี่ไว้เสมอ ๆ แล้วเราก็ไม่ทันคิด ลองจดรายการดูนะคะ ไว้เป็นส่วนหนึ่งประกอบการตัดสินใจค่ะ


ขอขอบคุณข้อมูลจาก คุณ kiwimissie สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม และ เฟซบุ๊ก KIWIMISSIE

http://home.kapook.com/view145180.html

Saturday, April 9, 2016

5 จุดเหมาะติดกล้องวงจรปิด ก่อนทิ้งบ้านยาวช่วงวันสงกรานต์



       5 จุดสำคัญที่แนะนำให้ติดกล้องวงจรปิด ไว้สอดส่องดูแลบ้านในยามที่ไม่มีคนดูแล โดยเฉพาะวันหยุดยาวในเทศกาลต่าง ๆ เช่น เทศกาลสงกรานต์ จะได้ไปเที่ยวแบบหมดห่วง

        เดี๋ยวนี้ขโมยเยอะเสียจนน่ากลัว ทิ้งบ้านแป๊บเดียวเหล่าโจรก็สามารถบุกเอาทรัพย์สินมีค่าของเราไปได้ นับประสาอะไรกับวันหยุดยาวช่วงสงกรานต์ สัปดาห์ที่ทุกคนต่างพาครอบครัวกลับภูมิลำเนาหรือไปเที่ยวต่างจังหวัด หากอยากไปเที่ยวอย่างสบายใจหายห่วง แนะนำให้ติดกล้องวงจรปิดทั้ง 5 จุดนี้เอาไว้เลย เพราะเป็นจุดที่เสี่ยงต่อการงัดแงะมากที่สุด อีกทั้งยังเป็น 5 จุดสำคัญที่เหมาะกับการใช้สอดส่องดูแลบ้านในวันปกติหรือยามวิกาลอีกด้วย

1. ประตูหน้า        

        ตำแหน่งที่ขโมยใช้เข้ามาในบ้านมากที่สุด การติดกล้องวงจรปิดในตำแหน่งนี้ ให้ติดไว้บนประตูหน้าในตำแหน่งที่เอื้อมไม่ถึง แล้วติดตาข่ายลวดคลุมไว้อีกชั้น เพื่อป้องกันก้อนหินที่ขโมยอาจขว้างใส่กล้อง

2. หน้าต่างบ้านชั้นแรก

        จุดเสี่ยงอันตรายลำดับต่อมา เพราะเป็นจุดที่คนร้ายไม่ต้องปีน อีกทั้งยังง่ายต่อการงัดแงะและทุบ โดยเฉพาะหน้าต่างกระจกใส ส่วนการติดกล้องตำแหน่งนี้ควรหันกล้องมาจากประตูหน้าไปตามแนวหน้าต่างชั้นแรก หรือติดกล้องเพิ่มที่มุมบ้านอีกตัว แล้วหันหน้ากล้องเข้าหาประตูหน้าบ้าน 

3. หน้าต่างในมุมอับ

        หน้าต่างหลังบ้านหรือหน้าต่างที่มีต้นไม้หรือกำแพงบัง ก็เป็นอีกหนึ่งตำแหน่งที่ถูกหัวขโมยงัดแงะบ่อย เนื่องจากปลอดจากสายตาคนภายนอก การติดกล้องตำแหน่งนี้ควรติดไว้ตำแหน่งสูงที่สุดในระนาบเดียวกับมุมทแยงของหน้าต่าง

4. ประตูหลังบ้าน

        ประตูหลังบ้านเป็นจุดที่ปลอดสายตาจากคนภายนอกเช่นกัน อีกทั้งถ้าทำเสียงดังเสียงก็จะเล็ดลอดเข้าไปในบ้านได้น้อยมาก การติดกล้องในตำแหน่งนี้ให้ติดเหมือนกับประตูหน้าบ้าน คือติดให้สูงที่สุด เอื้อมไม่ถึง และติดตาข่ายลวดป้องกันไว้อีกชั้นด้วย 

5. สวนหลังบ้าน

        สวนหลังบ้านเป็นตำแหน่งที่มักจะถูกละเลยเนื่องจากอยู่ด้านในสุด ในขณะที่บ้านบางหลังก็ปล่อยหลังบ้านโล่ง ไม่มีกำแพงล้อมรอบ อีกทั้งมีอุปกรณ์ทำสวนที่สามารถนำมางัดบ้านได้ การติดกล้องตำแหน่งนี้ให้หันกล้องไปยังกำแพงบ้าน หรือติดตั้งในองศาที่เห็นสวนในมุมที่กว้างและไกลที่สุด

        หากไม่อยากเที่ยวสงกรานต์ไป แล้วต้องรู้สึกพะว้าพะวงกลัวคนมางัดแงะบ้านของเรา ก็ลองหากล้องวงจรปิดดี ๆ สักเครื่องมาติดตั้งตามมุมสำคัญที่บอกไปนี้ เพื่อใช้สอดส่องดูแลบ้านขณะที่คุณไม่อยู่หรือในวันที่ต้องทิ้งบ้านยาว ๆ นะคะ

ขอขอบคุณข้อมูลจาก Ackerman และ Safesoundfamily
http://home.kapook.com/view144419.html
เครดิตภาพ  https://www.pinterest.com/pin/309833649374775249/