Saturday, March 21, 2020

7 วิธีใช้แอร์ที่มักถูกเข้าใจผิด เพราะแบบนี้ไงเลยจ่ายค่าไฟแพงกว่าเดิม


การใช้แอร์แบบผิด ๆ ว่าทำแบบนี้จะช่วยประหยัดค่าไฟได้ ซึ่งจริง ๆ แล้วทำให้สิ้นเปลืองพลังงานและจ่ายค่าไฟมากกว่าเดิม มาดูกันว่าเผลอทำไปบ้างหรือเปล่า แล้วจะแก้ไขยังไงดี

เข้าหน้าร้อนทีไรค่าไฟพุ่งกระฉูดทุกที แต่อากาศร้อนซะขนาดนี้ไม่ให้เปิดเครื่องปรับอากาศเลยก็ไม่ได้ ซึ่งจริง ๆ แล้วที่ค่าไฟแพงหูฉี่อาจไม่ได้เป็นเพราะเปิดแอร์เพียงอย่างเดียว แต่เป็นเพราะการใช้แอร์แบบผิด ๆ ที่เผลอไปโดยไม่รู้ตัว วันนี้กระปุกดอทคอมเลยรวบรวมมาฝากให้หายคาใจว่าการใช้แอร์แบบไหนที่ทำให้เปลืองพลังงานและต้องจ่ายค่าไฟแพงกว่าเดิม แล้วจะประหยัดค่าไฟช่วงหน้าร้อนได้อย่างไรบ้าง ถ้าจำเป็นต้องเปิดเครื่องปรับอากาศทุกวันแบบนี้

1. ใช้เครื่องเก่าไม่ยอมเปลี่ยน

          หลาย ๆ คนยังใช้แอร์เก่า ๆ ไม่ยอมเปลี่ยน เพราะเห็นว่ายังใช้ได้อยู่ ซึ่งจริง ๆ แล้วแม้ตัวเครื่องภายนอกจะยังดูดี แต่ระบบภายในก็เสื่อมไปตามระยะเวลาในการใช้งาน โดยเฉพาะแอร์เก่า ๆ ที่ใช้งานมานานเกิน 15 ปี ซึ่งนอกจากจะต้องเสียค่าซ่อมบำรุงแพงแล้ว ยิ่งใช้ยิ่งกินไฟอีกต่างหาก ดังนั้นแทนที่จะช่วยประหยัดอาจต้องจ่ายมากกว่าการซื้อเครื่องใหม่ ซึ่งเครื่องปรับอากาศในตอนนี้ก็มีทั้งการพัฒนาระบบที่ช่วยประหยัดไฟได้มากกว่าแถมยังมีฟังก์ชันเสริมต่าง ๆ ที่ตอบโจทย์การใช้งานของเรามากขึ้นด้วย

2. ยิ่งค่า BTU สูงยิ่งดี

          นอกจากนี้บางคนอาจจะยังเข้าใจผิดคิดว่ายิ่งค่า BTU เยอะยิ่งทำให้บ้านเย็น ซึ่งจริง ๆ แล้วหากเลือกเครื่องปรับอากาศที่มีค่า BTU สูงเกินความจำเป็นก็จะทำให้คอมเพรสเซอร์ตัดบ่อย แต่ถ้าเครื่องปรับอากาศมีค่า BTU ต่ำเกินไปก็จะทำเครื่องทำงานหนักและกินไฟ เพราะฉะนั้นควรเลือกเครื่องปรับอากาศที่มีค่า BTU เหมาะสมกับขนาดของห้อง โดยคำนวนจากสูตร
   
          พื้นที่ห้อง (กว้างxยาว) x ค่า Cooling Load Estimation = ค่า BTU ที่เหมาะสม
          การประเมินค่า Cooling Load Estimation ที่เหมาะสมกับแต่ละห้อง มีดังต่อไปนี้ ห้องนอน 700-750 BTU/ตารางเมตร, ห้องนั่งเล่น 750-850 BTU/ตารางเมตร, ห้องรับประทานอาหาร 800-950 BTU/ตารางเมตร, ห้องครัว 900-1000 BTU/ตารางเมตร, ห้องทำงาน 800-900 BTU/ตารางเมตร และห้องประชุม 850-1000 BTU/ตารางเมตร

          ทั้งนี้สูตรคำนวณค่า BTU เหมาะสำหรับห้องที่มีเพดานไม่เกิน 3 เมตร หากเป็นห้องที่มีความสูงมากกว่าและมีปัจจัยอื่น ๆ เช่น ตำแหน่งของห้อง ทิศทางของแดด เครื่องใช้ไฟฟ้า และจำนวนผู้อาศัย จะต้องบวกค่า BTU เพิ่มขึ้นด้วย


3. ไม่เช็กตำแหน่งก่อนติดตั้ง

          ตำแหน่งการติดตั้งแอร์ก็สำคัญ เพราะหากติดตั้งในตำแหน่งที่เหมาะสม ก็ช่วยให้แอร์ไม่ต้องทำงานหนักและประหยัดค่าไฟได้อีกทางหนึ่ง โดยพื้นที่ที่ติดตั้งแอร์ควรเป็นพื้นที่โล่ง ไม่มีสิ่งของบังทางลม พร้อมทั้งหลีกเลี่ยงบริเวณที่เป็นมุมอับ การติดตั้งแอร์บนผนังบ้านที่รับแสงแดดจัดหรือทิศตะวันตกเพราะจะทำให้เครื่องทำงานหนัก รวมถึงไม่ติดตั้งแอร์บริเวณใกล้กับประตูหรือหน้าต่าง เนื่องจากจะทำให้ความร้อนภายนอกไหลเข้ามาแทนที่อากาศภายในได้ง่าย

4. เปิดแอร์พร้อมพัดลมทำให้เปลืองไฟ


          บางคนอาจจะคิดว่าการเปิดพัดลมพร้อมกับแอร์ทำให้เปลืองไฟ ซึ่งจริง ๆ แล้วเปิดแอร์ให้ประหยัดไฟควรเปิดพัดลมควบคู่กับการเปิดแอร์ไปด้วย จะทำให้ห้องเย็นขึ้นและช่วยประหยัดไฟได้ ซึ่งมีทริกง่าย ๆ เริ่มจากปรับแอร์ไปที่ 25-27 องศาเซลเซียส แล้วเปิดพัดลมไปพร้อม ๆ กัน พัดลมก็จะช่วยกระจายลมเย็นให้ทั่วห้อง และช่วยลดอุณหภูมิในห้องได้อีก 1-2 องศาเลยทีเดียว

5. เปิดแอร์อุณหภูมิต่ำจะช่วยให้ห้องเย็นเร็วขึ้น
          หลายคนคงเคยปรับแอร์ให้มีอุณหภูมิต่ำเพราะอยากให้ห้องเย็นเร็วขึ้น ซึ่งจริง ๆ แล้วทำให้สิ้นเปลืองพลังงานโดยใช่เหตุ เพราะไม่ว่าตั้งให้อุณหภูมิต่ำสักแค่ไหน ก็ใช้เวลาในการทำความเย็นพอ ๆ กันกับการตั้งอุณหภูมิปกติอยู่ดี ทางที่ดีถ้าหากอยากให้ห้องเย็นเร็วขึ้น ให้เร่งความเร็วพัดลมแอร์จะช่วยได้ดีกว่า

6. อุณหภูมิ 25 องศา ช่วยประหยัดไฟได้มากที่สุด

          แม้ว่าการตั้งอุณหภูมิ 25 องศา จะช่วยประหยัดไฟ แต่ก็เป็นแค่ส่วนหนึ่ง เพราะจริง ๆ แล้วควรใส่ใจดูแลรักษาตัวเครื่องไปพร้อมกัน โดยหมั่นตรวจเช็กระบบและทำความสะอาดเแอร์อย่างน้อยปีละ 2 ครั้ง ก็จะช่วยยืดอายุการใช้งานและทำให้ตัวเครื่องทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ

7. เปิด-ปิดแอร์บ่อยประหยัดไฟมากกว่า

          แม้จริง ๆ แล้วการเปิดแอร์ค้างไว้หลายชั่วโมงติดต่อกันจะเปลืองไฟมากกว่า แต่การเปิด-ปิดแอร์บ่อย ๆ ก็ส่งผลเสียกับตัวเครื่องไม่น้อยเลยทีเดียว เพราะการทำแบบนี้จะทำให้เครื่องทำงานหนักและอายุการใช้งานสั้นกว่าที่ควรจะเป็น

          แม้ว่าบ้านของคนไทยจะมีแอร์กันแทบทุกหลัง แต่เชื่อว่าถึงอย่างไรก็ต้องมีคนเข้าใจผิดอยู่ดี ฉะนั้นถ้าหากไม่อยากพลาดใช้แอร์ไม่ถูกวิธี จนเป็นเหตุทำให้เปลืองไฟและเปลืองพลังงานละก็ รีบแก้ไขด่วน ๆ เลย

ขอขอบคุณข้อมูลจาก gharpediaeffic, ientsystems, homequicks, สถาบันพลังงาน มช.powerbuyรวมพลังหาร 2

Monday, March 16, 2020

7 วิธีไล่คางคกออกจากบ้าน จากกันด้วยดีโดยไม่ต้องฆ่า



         คางคกเข้าบ้าน แต่ไม่รู้จะทำอย่างไรดี ไม่อยากฆ่าแต่ก็ไม่อยากให้อยู่ในบ้าน มาดู วิธีไล่คางคกออกจากบ้าน แบบไม่ต้องเสียเลือดเนื้อกันค่ะ

          คางคก สัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำ มีประมาณ 500 ชนิด ลักษณะผิวเป็นตะปุ่มตะป่ำ ลิ้นเรียวสั้นสามารถยืด-หดได้ มีพิษร้ายหากรับประทานเข้าไป แม้ภายนอกจะดูน่ากลัวแต่จริง ๆ แล้วคางคกก็มีประโยชน์อยู่เหมือนกัน อาทิ อาหารที่ปรุงอย่างถูกวิธี ยารักษาโรค และเครื่องหนัง แต่คงไม่มีใครอยากให้คางคกอยู่ในบ้านแน่ ๆ วันนี้กระปุกดอทคอมเลยขอนำวิธีไล่คางคกออกจากบ้านมาบอกต่อ สำหรับคนที่เจอคางคกเข้าบ้านประจำ แต่ไม่รู้จะแก้ปัญหานี้ยังไงดี

1. กำจัดที่อยู่

          นอกจากแหล่งน้ำก็มีที่ชื้น ๆ มืด ๆ อย่างกองเศษไม้นี่แหละที่คางคกชอบอยู่ ควรรีบนำไปทิ้งโดยเร็ว หากพบหลุมหรือบ่อในสวนให้นำดินมาถมให้เต็ม พร้อมซ่อนกับดักไว้ด้วย เพื่อป้องกันไม่ให้คางคกเข้ามาจำศีล

2. กำจัดแหล่งน้ำ


          มักจะพบคางคกตามแหล่งน้ำบ่อย ๆ เช่น อ่างบัว บ่อปลา หรือร่องน้ำ ถ้าหากมีแหล่งให้กบดานแบบนี้ใกล้ ๆ บ้าน ไม่ยอมไปไหนแน่ ๆ ทางที่จะทำให้คางคกไม่กลับมาอีกก็คือ ทำให้แหล่งน้ำเหล่านั้นแห้งสนิททุกจุดติดกันอย่างน้อย 2 สัปดาห์ และตัดหญ้าหรือต้นไม้ที่อยู่รอบ ๆ บริเวณเดียวกันด้วย

3. กำจัดแหล่งอาหาร

          ในเมื่อคางคกกินแมลงเป็นอาหาร ให้เริ่มจากเลี่ยงการเปิดไฟที่จะล่อแมลงเข้ามาในบ้าน ฉีดยากำจัดแมลงและสัตว์ตัวเล็ก ๆ ให้หมดไป โดยเฉพาะปลวกและมด นอกจากนี้ไม่ควรนำถ้วยใส่อาหารสัตว์วางไว้นอกบ้านด้วย

4. ทำรั้วกั้น

          ถ้ารั้วบ้านยังมีช่องว่างที่คางคกสามารถกระโดดเข้ามาได้ ปิดช่องวางเหล่านั้นและล้อมสระหรืออ่างน้ำด้วยตาข่ายพลาสติก โดยฝังตาข่ายลงดินลึกอย่างน้อย 6-18 นิ้ว และสูงขึ้นมาจากพื้นดินอย่างน้อย 24 นิ้ว ซึ่งวิธีนี้จะช่วยป้องกันงูและสัตว์เลื้อยคลานชนิดอื่นบุกบ้านได้ด้วยล่ะ


5. กำจัดไข่คางคก

          ลักษณะไข่คางคกจะเป็นเส้นเมือกใสมีจุดสีดำเล็ก ๆ อยู่ด้านใน ขนาดประมาณ 2 มิลลิเมตร ต่างจากไข่กบที่มีลักษณะเป็นก้อนเมือกใสเกาะเป็นกลุ่ม ซึ่งวิธีกำจัดก็ไม่ยาก แค่ตักไข่คางคกขึ้นมาวางทิ้งไว้นอกแหล่งน้ำเท่านั้นเอง

6. กำจัดด้วยธรรมชาติ

          วิธีแรกใช้เกลือผสมน้ำแล้วฉีดไปที่ตัวคางคก วิธีที่สองก็คือโรยผงกาแฟรอบ ๆ บริเวณที่อยู่ของคางคก กลิ่นของคาเฟอีนในกาแฟก็จะทำให้คางคกกระสับกระส่าย หนีย้ายออกไปเอง โดยไม่ต้องฆ่าเลย

7. จับไปปล่อย

          ถ้าใจกล้าพอให้ใช้อุปกรณ์ช่วยจับตัวคางคก แล้วนำไปใส่ไว้ในภาชนะทรงสูง เช่น ถังน้ำ ถังขยะ หรือกล่อง พร้อมกับปิดฝากให้มิดชิด ก่อนนำไปปล่อยตามแหล่งน้ำอื่นที่อยู่ไกลบ้านมากที่สุด

    หากบังเอิญเจอคางคกเข้าบ้านหรือเข้ามาป้วนเปี้ยนในสวน ไม่รู้จะทำอย่างไรดี ก็ลองนำวิธีไล่คางคกออกจากบ้านทั้ง 7 วิธีนี้ไปทดลองใช้กันดู จะได้จากกันด้วยดี ไม่ต้องลงฆ่า แล้วรู้สึกเสียใจทีหลัง

ขอขอบคุณข้อมูลจาก dengarden, stayathomemum, ehow, bugspray, wikihow, homeguides, , dengarden.com, med.mahidol และ pasusat

https://home.kapook.com/view174248.html
เครดิตภาพ https://www.pinterest.com/pin/5770305763532794/

Sunday, March 1, 2020

วิธีไล่จิ้งจกออกจากบ้าน ไม่ต้องรำคาญเสียงร้อง



       วิธีไล่จิ้งจกออกจากบ้าน สำหรับคนที่กลัวจิ้งจก หรือรำคาญเสียงร้องจนไม่อยากอยู่ร่วมชายคาเดียวกัน อยากรู้วิธีไล่จิ้งจกออกจากบ้าน รีบมาอ่านกันเลย !


       จุ๊...จุ๊...จุ๊ เสียงร้องที่คุ้นเคยของจิ้งจกที่คอยเกาะหนึบอยู่ตามผนังบ้าน คงทำให้คนกลัวจิ้งจกหลายคนต้องขนลุกไปตาม ๆ กัน หรือบางคนก็รำคาญกับเสียงร้องบ่อย ๆ จนอยากจะไล่จิ้งจกไปจากบ้านเสียที วันนี้กระปุกดอทคอมก็เลยขอนำเอา วิธีไล่จิ้งจกออกจากบ้าน มาฝากให้คนที่กำลังมองหาทางออกกันอยู่ จะได้ผลหรือไม่อย่างไรไปลองทำกันดูนะคะ


1. ฉีดน้ำไล่

             เพราะเจ้าจิ้งจกตัวน้อยมักจะคอยเกาะหนึบอยู่กับผนังทำอย่างไรก็ไม่ยอมไปง่าย ๆ ดังนั้นเราจะมาแก้กันด้วยวิธีบ้าน ๆ โดยใส่น้ำในกระบอกฉีดน้ำ หรือปืนฉีดน้ำที่เหลือใช้จากตอนสงกรานต์ แล้วนำไปฉีดบริเวณที่จิ้งจกเกาะอยู่ โดยฉีดน้ำให้โดนสี่ขาของจิ้งจกเพราะน้ำจะเข้าไปแทนที่สูญญากาศจนทำให้จิ้งจกเกาะผนังไม่ติดจนทนอยู่ไม่ได้นั่นเอง

2. น้ำมันก๊าด

             เป็นอีกหนึ่งวิธีง่าย ๆ ที่คนในบ้านอาจจะต้องทนกับกลิ่นฉุน ๆ อยู่สักหน่อย เพราะจิ้งจกก็ไม่ปลื้มกับกลิ่นรุนแรงของน้ำมันก๊าดด้วยเช่นกัน โดยให้ใช้ผ้าเปียกหมาด ๆ พันไม้ยาว แล้วชุบน้ำมันก๊าด จากนั้นแหย่ไม้ไปใกล้ ๆ จิ้งจกที่เกาะอยู่ เจ้าจิ้งจกก็จะทนกลิ่นไม่ไหวจนหนีหายไปเลย

3. เปลือกมะนาว

             เปลือกมะนาวที่เหลือจากการปรุงอาหาร สามารถนำมาเป็นอีกหนึ่งทางเลือกในการไล่จิ้งจกได้ โดยใช้เปลือกมะนาวทาถูลงไปบริเวณที่จิ้งจกเกาะอยู่ จิ้งจกที่ไม่ชอบกลิ่นและความแสบร้อนของกรดในมะนาว ก็จะเผ่นกระเจิงไปในที่สุด

4. เลี้ยงแมว

             ใครจะเชื่อว่าการเลี้ยงแมวจะช่วยไล่จิ้งจกได้ด้วย แต่วิธีนี้คงถูกอกถูกใจทาสแมวหลายคน เพราะการเลี้ยงแมวเอาไว้ในบ้าน จะทำให้จิ้งจกไม่กล้าย่างกรายเข้ามาสักเท่าไหร่ เนื่องจากงานอดิเรกของแมวที่คอยวิ่งไล่จับจิ้งจกนั้น ทำให้เหยื่อกลัวซะจนไม่กล้าโผล่มาให้เห็นเลยล่ะ

5. น้ำยาสมุนไพร

             หากอยากได้น้ำยาสมุนไพรที่จะช่วยไล่จิ้งจกได้ ลองหา ใบสาบเสือและใบน้อยหน่า อย่างละเท่า ๆ กัน นำมาตำให้เกิดกลิ่นฉุนสมชื่อ แล้วห่อด้วยผ้า จากนั้นนำไปแขวนบริเวณที่มีจิ้งจกเกาะอยู่ รับรองว่ากลิ่นสาบที่ได้จะทำให้จิ้งจกโบกมือบ๊ายบายไปเลยจ้า

6. สเปรย์ไล่จิ้งจก

             สำหรับใครที่ไม่อยากหาอุปกรณ์มาทำน้ำยาสมุนไพรด้วยตัวเองให้ยุ่งยาก ปัจจุบันมีทั้งน้ำยาสมุนไพรและสเปรย์ไล่จิ้งจกแบบสำเร็จรูปออกมาวางขาย สามารถหาซื้อได้ตามร้านสมุนไพร หรือสั่งซื้อทางอินเทอร์เน็ต

7. กำจัดแมลง

             เป็นอีกหนึ่งวิธีทางอ้อมที่ได้ผล เพราะเจ้าจิ้งจกมักกินแมลงเป็นอาหาร ดังนั้นการกำจัดแมลงและรักษาความสะอาดในบ้านอยู่เสมอ จะทำให้เจ้าจิ้งจกอดโซ จนรู้ว่าบ้านของคุณไม่มีอาหารและไม่น่าอยู่อีกต่อไป

8. เคาะไล่ด้วยไม้

             เป็นวิธีง่าย ๆ ที่หลายบ้านทำแล้วได้ผล เพียงแค่หยิบไม้กวาดหรืออุปกรณ์ใกล้ตัว มาเคาะ ๆ บริเวณที่จิ้งจกเกาะอยู่ เพื่อให้จิ้งจกตกใจกลัวและเผ่นหายไป ทางที่ดีควรจำกัดเส้นทางหนีของจิ้งจกด้วยการเคาะไล่ให้ไปในจุดเปิด เพื่อให้จิ้งจกออกจากบ้านไปได้ง่าย ๆ ไม่ต้องวนเวียนอยู่ในบ้านอีก

9. กวาดและโกยไปทิ้ง

             หากลองมาหลายวิธีแล้วเจ้าจิ้งจกก็ยังติดหนึบไม่ไปไหน คราวนี้คงต้องถึงเนื้อถึงตัวกันหน่อย ด้วยการนำไม้กวาดมาเขี่ยจิ้งจกให้หลุดจากผนัง และรองรับด้วยที่ตักผง ยิ่งถ้าเป็นแบบมีฝาปิดด้วยจะยิ่งดีมาก เพราะเจ้าจิ้งจกจะได้ไม่วิ่งหนีหายไปไหน จากนั้นก็นำจิ้งจกน้อยไปปล่อยเอาไว้นอกบ้าน แล้วบอกลาจากกันดีกว่า

             เหล่านี้คือวิธีไล่จิ้งจกออกจากบ้านที่แตกต่างกันไป โดยไม่ต้องทำร้ายจิ้งจกให้เป็นบาป ซึ่งสำหรับคนที่กลัวจิ้งจก หากไม่อยากลงมือด้วยตัวเองเพราะแค่คิดว่าต้องเข้าใกล้ก็ไม่ไหวแล้ว อาจจะต้องพึ่งพาคนในครอบครัว หรือเพื่อน ๆ มาช่วยลงมือแทนกันหน่อยแล้ว แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นเจ้าจิ้งจกก็ไม่ได้เลวร้ายอย่างที่คิดนะคะ เพราะช่วยกำจัดสารพัดแมลงในบ้านได้เป็นอย่างดีเลยล่ะจ้า

ขอขอบคุณข้อมูลจาก housekeepingexpert และ pestwiki
เครดิตภาพ  https://www.pinterest.com/pin/3659243435679338/