Tuesday, July 28, 2020

12 วิธีแก้ปัญหาท่อน้ำตันง่าย ๆ แม้ไม่ใช่ช่างก็ทำเองได้ !


ท่อน้ำตันทำอย่างไร ? มาดูวิธีแก้ปัญหาท่อน้ำตันง่าย ๆ ไม่ต้องเรียกช่าง วิธีแก้ปัญหาน้ำตันด้วยน้ำส้มสายชู เบกกิ้งโซดา โซดาไฟ และของใกล้ตัวที่ช่วยแก้ปัญหาท่อน้ำตันได้อย่างดีเยี่ยม


หากกำลังประสบปัญหาท่อน้ำตัน อย่าเพิ่งกริ๊งกร๊างไปหาช่างซ่อม เพราะวันนี้กระปุกดอทคอมมีวิธีแก้ปัญหาท่อน้ำตันง่าย ๆ มาบอกต่อ โดยวิธีแก้ไขท่อน้ำตันด้วยตัวเองและของใช้ในบ้าน เช่น น้ำส้มสายชู เบกกิ้งโซดา โซดาไฟ และของอื่น ๆ อีกมากมายที่อยู่ใกล้มือ อยากรู้ว่าท่อน้ำตันทำอย่างไร ? ก็ตามไปหาคำตอบพร้อม ๆ กันเลยจาก 12 วิธีแก้ไขปัญหาท่อน้ำตัน


1. ที่ปั๊มส้วมช่วยได้ในเบื้องต้น

          วิธีการแก้ไขเบื้องต้นปัญหาท่อน้ำอุดตันนั่นก็คือ การใช้ที่ปั๊มส้วม แต่จะให้ดีต้องปั๊มด้วยวิธีที่ถูกต้อง โดยการครอบที่ปั๊มลงไปที่ปากท่อ นำผ้าเปียกมาคลุมไว้รอบ ๆ ที่ปั๊มแล้วทำการปั๊มขึ้น-ลงประมาณ 6-10 ครั้ง เพื่อดึงเอาสิ่งที่อุดตันอยู่ในท่อขึ้นมา

2. น้ำส้มสายชูและเบกกิ้งโซดา


          หากเกิดปัญหาท่อน้ำอุดตันแนะนำให้เทเบกกิ้งโซดาประมาณ ½ ถ้วยตวงลงไปในท่อ แล้วเทน้ำส้มสายชู ½ ถ้วยตวงตามลงไปและทิ้งไว้สักพัก จากนั้นให้ราดน้ำร้อนลงไปในท่อซ้ำอีกครั้ง

3. เบกกิ้งโซดาและเกลือ

          วิธีนี้คล้ายกับวิธีที่ 2 แต่เปลี่ยนจากน้ำส้มสายชูเป็นเกลือ โดยเทเบกกิ้งโซดาประมาณ 1 ถ้วยตวงและเกลือ ½ ถ้วยตวงลงไปในท่อ แล้วปล่อยทิ้งไว้ 1 คืน จากนั้นเทน้ำร้อนลงไปในท่ออีก 2 ถ้วยตวง

4. ไม้แขวนเสื้อใช้ทะลวงท่อ

          หากเราสามารถมองเห็นเศษขยะที่อุดตันอยู่ในท่อได้ ให้นำไม้แขวนเสื้อมาคลายออกให้เป็นลวดยาว ๆ งอปลายขึ้นเล็กน้อยเพื่อทำเป็นหัวตะขอเกี่ยว จากนั้นนำลวดด้านที่มีหัวเกี่ยวหย่อนลงไปในท่อเพื่อเกี่ยวเศษขยะที่อุดตันท่อขึ้นมา


5. ถอดท่อน้ำออกมาทำความสะอาด

          หากท่อน้ำทิ้งที่อ่างล้างหน้าหรืออ่างล้างจานเกิดอุดตันแบบขั้นหนัก แนะนำให้ถอดท่อน้ำออกมาทำความสะอาดเลยจะดีกว่า ก่อนอื่นปิดวาล์วน้ำให้น้ำหยุดไหล แล้วนำถาดมารองไว้ใต้ท่อน้ำด้านล่าง จากนั้นค่อย ๆ ถอดท่อน้ำข้อต่อระหว่างอ่างกับผนังออกมาทีละส่วน แล้วใช้แปรงสีฟันขัดถูทำความสะอาดสิ่งอุดตันออกให้หมด จากนั้นนำที่ปิดน้ำตรงปากท่อน้ำทิ้งออกมาทำความสะอาด แล้วจัดการต่อท่อกลับไปให้เหมือนเดิม

6. เครื่องดูดฝุ่น ดูดหมดทุกสิ่งอุดตัน

          ถ้าที่บ้านมีเครื่องดูดฝุ่นที่สามารถใช้ทำงานได้ทั้งพื้นที่เปียกและพื้นที่แห้ง แนะนำให้เปิดระบบการทำงานเครื่องดูดฝุ่นให้เป็นแบบเปียก จากนั้นเปิดน้ำหล่อท่อเอาไว้แล้วใช้เครื่องดูดฝุ่นจ่อลงไปที่ปากท่อ แล้วดูดสิ่งอุดตันท่อออกมาให้หมด

7. โซดาไฟ กัดคราบสกปรกให้หลุดออกจากท่อน้ำ

          วิธีนี้ควรใช้แก้ปัญหาส้วมอุดตันเท่านั้นและควรเตรียมอุปกรณ์ป้องกันด้วย ได้แก่ ถุงมือยาง แว่นป้องกันสายตา และหน้ากากอนามัย แล้วก็ลงมือผสมโดยการเทน้ำเย็นลงในถังประมาณ ¾ แกลลอน ตามด้วยโซดาไฟอีก 3 ถ้วยตวง ใช้ไม้พายคนให้เข้ากัน เมื่อเกิดฟองฟู่และไอร้อนก็รีบเทลงในชักโครก ทิ้งไว้ 20-30 นาที แล้วค่อยเทน้ำต้มเดือดราดลงไป

8. น้ำยาล้างจาน ล้างคราบไขมันให้หายเกลี้ยง

          แม้การใช้น้ำยาล้างจานอาจจะดูเป็นวิธีที่ค่อนข้างเบาแต่กลับได้ผลเกินคาด โดยเทน้ำยาล้างจานลงไปในท่อประมาณ ¼ ถ้วยตวง แล้วตามด้วยน้ำต้มเดือด น้ำยาล้างจานจะลงไปกัดคราบไขมันให้หลุดออกจากท่อ แต่ถ้าจะให้ดีแนะนำให้สวมถุงมือยาง แล้วล้วงมือลงไปดึงเศษขยะที่ติดอยู่ออกมา ก็จะช่วยแก้ปัญหาท่ออุดตันได้ดีกว่า

9. สายทะลวงท่อน้ำอุดตัน

          ไม่อยากเสียเวลากับการแก้ปัญหาท่อน้ำอุดตันเราแนะนำให้ลองใช้สปริงทะลวงท่อหรือที่เรียกกันว่างูเหล็ก สอดเข้าไปในท่อที่อุดตัน เมื่อเจอกับสิ่งที่อุดตันท่อแล้ว ก็ใช้งูเหล็กทะลวงเข้าไปพร้อมกับเปิดน้ำทิ้งหรือกดชักโครกไล่สิ่งอุดตันตามไปด้วย

10. น้ำส้มสายชูและเกลือ

          อีกหนึ่งสูตรช่วยกำจัดสิ่งอุดตันท่อแบบไร้สารพิษทำลายล้างท่อน้ำ โดยเทเกลือขนาด ½ ถ้วยตวง เบกกิ้งโซดาอีก ½ ถ้วยตวง และน้ำส้มสายชูอีก ½ ถ้วยตวงลงไปในท่อน้ำ แล้วทิ้งไว้ 10 นาที จากนั้นเทน้ำต้มเดือดตามลงไปเพื่อล้างคราบไขมันที่ติดอยู่ในท่อและกำจัดสิ่งสกปรกให้หมดไป

11. ผลิตภัณฑ์เอนไซม์ แบบไม่ทำลายท่อน้ำ

          ผลิตภัณฑ์น้ำเอนไซม์มีวางขายตามห้างร้านทั่วไป หากจะนำมาใช้เพื่อทำความสะอาดท่ออุดตันแนะนำให้เลือกเอนไซม์ชนิดที่เป็นออแกนิกส์ เพราะไม่ทำลายพื้นผิวของท่อน้ำ อ่านและทำตามฉลากด้านข้างขวดอย่างเคร่งครัด จากนั้นก็ปล่อยให้เอนไซม์ทำงานโดยการทิ้งไว้ 1 คืน แล้วค่อยล้างออกด้วยน้ำสะอาดอีกครั้งในตอนเช้า

12. น้ำยาฟอกผ้าขาว ใช้กับท่อน้ำก็ได้

          ใครว่าน้ำยาฟอกผ้าขาวใช้ได้กับผ้าเท่านั้น เพราะจริง ๆ แล้วมันก็ช่วยทะลวงท่อน้ำอุดตันได้เช่นกัน เริ่มจากถอดตัวกรองน้ำที่ปากท่อออกก่อน แล้วเทน้ำยาฟอกผ้าขาวประมาณ 1 ถ้วยตวงลงไป ปล่อยทิ้งไว้ 10 นาที เปิดน้ำให้ไหลงไปในท่อ หากว่าน้ำในท่อค่อย ๆ ลดระดับลง ก็เป็นอันว่าสิ่งที่อุดตันท่อหลุดออกไปเรียบร้อยแล้ว จากนั้นก็ทำความสะอาดท่อตามปกติได้เลย

          ปัญหาท่อน้ำอุดตันเกิดขึ้นได้กับทุกบ้านและถ้าหากเราปล่อยเอาไว้มันจะส่งผลกระทบใหญ่หลวงต่อระบบท่อน้ำในบ้าน ดังนั้นเมื่อเจอปัญหาท่อน้ำอุดตันที่ไหนก็อย่าลืมนำเอาวิธีที่เรานำมาฝากกันในวันนี้ไปใช้นะคะ

ขอขอบคุณข้อมูลจาก Katmckee, Ncleaningtips, Wikihow, Wisebread และ Wonderhowto
เครดิตภาพ  https://www.pinterest.com/pin/16818198596402171/

Sunday, July 26, 2020

7 ที่ในบ้านที่ควรสังเกตแต่คนกลับมองข้าม




เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

การที่บ้านจะค่อย ๆ โทรมหรือชำรุดไปตามเวลาใช้งานเป็นเรื่องปกติก็จริง แต่บางครั้งถ้าเรารู้จักสังเกตความเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ ให้ดี เราก็สามารถดูแลรักษาให้บ้านมีสภาพคงทนให้นานขึ้นเหมือนกัน ด้วยการสังเกตจากสิ่งเล็ก ๆ น้อยที่คนมักมองข้ามตามนี้ดู

 1. ตัวฐานของบ้าน  

          การทรุดโทรมของฐานบ้านถือเป็นจุดเริ่มของหายนะในบ้านเลยทีเดียว เพราะจะเป็นตัวทำให้พื้นและกำแพงทรุดตามไปด้วย ซึ่งการที่ฐานบ้านเริ่มทรุดอาจเกิดจากการที่มีน้ำรั่วซึมเข้าไปหรือโดนน้ำขังในช่วงฝนตกหนักและช่วงน้ำท่วมก็ได้ โดยเราสามารถสังเกตว่าฐานบ้านมีอาการทรุดอย่างที่ว่าหรือเปล่าด้วยการดูจากรอยแตกร้าวตามผนังที่เกิดจากการทรุดตัวดูแต่เนิ่น ๆ จะได้ตามช่างมาดูแลเสริมความแน่นหนาได้ทันก่อนที่บ้านจะทรุดลงไปกว่าเดิมโดยที่คุณไม่รู้ตัว

2. อ่างล้างจานแบบเคาน์เตอร์

          บางครั้งการใช้อ่างล้างจานแบบฝังใต้เคาน์เตอร์ก็อาจทำให้ใครหลาย ๆ คนละเลยที่จะสำรวจใต้อ่างว่ามีรอยรั่วบ้างหรือไม่ จนปล่อยให้น้ำรั่วจนซึมออกมาให้ตู้เคาน์เตอร์อับชื้นเป็นเชื้อราโดยไม่รู้ตัวได้ง่าย ๆ ดังนั้นคุณจึงควรลองเปิดน้ำแล้วเปิดตู้ไปพร้อมกันเพื่อเช็คดูบ้าง จะได้มั่นใจได้ว่าอ่างล้างจานของคุณไม่มีน้ำรั่วซึมออกมาตามท่อเวลาที่เปิดน้ำ

 3. สังเกตทางเข้าบ้านในช่วงฝนตก

          หลังจากใส่เสื้อกันฝนพร้อมรองเท้าบูทแล้วก็เดินออกมานอกบ้านเพื่อสังเกตทางเข้าบ้านของคุณในช่วงฝนตกดูบ้าง โดยคุณควรดูให้ดีว่าเวลาที่ฝนตกมีน้ำเจิ่งนองจนเป็นบ่อเล็ก ๆ อยู่แถว ๆ ไดร์ฟเวย์ของคุณหรือไม่ เพราะถ้าเป็นแบบนั้นแอ่งน้ำตรงนั้นก็จะกัดเซาะจนทางเข้าบ้านของคุณผุกร่อนได้เร็วขึ้น จนทำให้แตกร้าวเวลาที่ของหนัก ๆ อย่างรถขับผ่านได้ง่ายด้วย

4. ทำความสะอาดรางน้ำบนหลังคาเป็นประจำ

          หลาย ๆ คนอาจไม่ใส่ใจเรื่องการทำความสะอาดรางน้ำสักเท่าไหร่ เพราะค่อนข้างยุ่งยากและถึงจะสกปรกก็อยู่ในที่ซึ่งคุณมองไม่เห็นอยู่ดี แต่ถึงอย่างนั้นคุณก็ควรหันมาทำความสะอาดรางน้ำกันให้มากขึ้น เพราะนอกจากน้ำฝนแล้วก็อาจมีสิ่งสกปรกอื่น ๆ เช่นใบไม้หรือขยะมาติดอยู่บนหลังคาจนทำให้รางน้ำของคุณเป็นบ่อเกิดของเชื้อโรคได้เหมือนกัน ดังนั้นควรหันมาทำความสะอาดกันให้มากขึ้นอย่างน้อยปีละครั้งนะคะ

 5. ดูแลระเบียงให้สะอาด

          ระเบียงก็เป็นอีกที่ในบ้านที่มีน้ำรั่วซึมได้ง่ายจากการที่โดนฝนสาดเข้ามาอยู่บ่อย ๆ ทำให้พื้นถูกน้ำกัดเซาะได้ โดยเฉพาะพื้นไม้ที่ผุเกราะง่ายเป็นพิเศษ นอกจากนี้ ความอับชื้นหลังฝนตกยังทำให้ระเบียงของคุณเกิดเชื้อราได้อย่างรวดเร็วอีกด้วย คุณจึงควรหมั่นใช้สเปรย์กำจัดเชื้อราฉีดก่อนทำความสะอาดเป็นประจำ ยิ่งไปกว่านั้น พื้นที่ผุแล้วก็ควรถอดออกเพื่อใส่พื้นใหม่แทนเพื่อความมั่นคงด้วย

6. สังเกตด้านนอกแบบรอบ ๆ

          คนส่วนใหญ่มักสนใจแต่การทำความสะอาดด้านในบ้านจึงทำให้ลืมที่จะสังเกตสิ่งผิดปกติรอบบ้านด้วย ซึ่งบางทีรอยสีหลุดลอกตามกำแพงนอกบ้านหรือสิ่งสกปรกอื่น ๆ ก็อาจทำให้บ้านดูไม่น่ามองหรือเกิดรอยรั่วจนต้องซ่อมแซมได้เหมือนกัน คุณจึงควรสังเกตรอบ ๆ บ้านด้วยว่ามีรอยแตกบนกำแพงหรือมีกระเบื้องหลังคาหลุดออกไปบ้างหรือเปล่า จะได้ซ่อมได้ทันก่อนที่บ้านจะเสียหายไปมากกว่าเดิม

 7. ทำความสะอาดเครื่องทำน้ำอุ่น

          พอใช้ไปเรื่อย ๆ แทงค์เครื่องทำน้ำอุ่นในบ้านของคุณก็มักจะเกิดการตกตะกอนอยู่ด้านในเป็นเรื่องปกติ ซึ่งถ้าคุณต้องการให้แทงค์น้ำใช้ได้นานขึ้นก็ควรระบายคราบตกตะกอนพวกนี้ออกด้วยการติดสายยางเข้ากับหัวก๊อกบริเวณด้านล่างของแทงค์ แล้วจึงเปิดก๊อกน้ำส่วนที่เชื่อมกับแทงค์เพื่อให้น้ำและคราบตกตะกอนไหลออกมาตามสายยางจนหมด สุดท้ายหลังจากขจัดคราบตกตะกอนออกไปหมดแล้วก็ปิดน้ำ เทน้ำออกจากสายยางรวมทั้งคราบตกตะกอนออกให้หมด แล้วจึงเสียบสายยางฉีดน้ำเข้าไปใหม่เพื่อเติมแทงค์ให้เต็ม เท่านี้ก็เป็นอันเสร็จ


          หลังจากอ่านจบเรียบร้อยแล้วก็อย่าลืมลองสำรวจรอบ ๆ บ้านของคุณตามนี้ดู เพื่อให้บ้านทนทานอยู่กับคุณไปได้นาน ๆ ด้วยนะคะ

https://home.kapook.com/view44942.html
เครดิตภาพ  https://www.pinterest.com/pin/796644621565656859/

Monday, July 20, 2020

5 จุดเสี่ยงหลังคารั่ว รีบซ่อมก่อนฝนตก ป้องกันน้ำไหลซึมเพดานและผนัง


       มาดูจุดเสี่ยงที่มักเกิดรอยรั่วบนหลังคา เกิดจากสาเหตุอะไร และมีวิธีแก้ไขอย่างไรบ้าง มาดู จุดเสี่ยงหลังคารั่ว ที่ควรซ่อมแซมก่อนน้ำรั่วซึมเข้าผนังและเพดาน 

       รอยรั่วบนหลังคา ต้นเหตุอาจจะเกิดจากรูเล็ก ๆ แต่ทว่ากลับสร้างปัญหามากมาย เพราะหากมีน้ำฝนรั่วเข้ามาในบ้าน ไม่ได้ทำให้ข้าวของเสียหายอย่างเดียว แต่น้ำฝนที่ซึมไปตามฝ้าเพดานและผนังยังทำให้เกิดความชื้นและมีเชื้อรา ตามมาด้วยเหล่าแมลงและสัตว์น้อยใหญ่เข้ามาทำรัง อีกทั้งยังส่งผลถึงโครงสร้างบ้านอีกต่างหาก ฉะนั้นก่อนที่อะไร ๆ ในบ้านจะเสียหายไปมากกว่านี้มาดูกันว่ามีส่วนไหนที่มักจะเกิดรอยรั่ว สังเกตอย่างไร และจะแก้ไขอย่างไรกันค่ะ 

1. อุปกรณ์ยึดหลังคาเสื่อมสภาพ

          หากเริ่มสังเกตเห็นแสงลอดลงมาจากรูเล็ก ๆ บนหลังคาหรือมีคราบน้ำซึมเป็นทางหลังฝนตกละก็ เป็นไปได้ว่ามีรอยรั่วบริเวณสกรูยึดหลังคา ซึ่งเกิดจาก 2 สาเหตุด้วยกันคือ หัวสกรูไม่ได้ถูกซ่อนไว้ในหลังคาหรือแหวนยางรองเสื่อมสภาพ เลยทำให้เกิดช่องว่างเล็ก ๆ ที่ทำให้น้ำฝนไหลซึมเข้ามาตามหลังได้ ซึ่งวิธีแก้ไขสำหรับปัญหานี้ก็ไม่ยาก ทำได้โดยการเปลี่ยนเซตสกรูใหม่ที่มีแหวนรองยาง แล้วทาวัสดุกันซึมเสริมกันน้ำอีกชั้น แต่ทั้งนี้ควรระมัดระวังในการเปลี่ยนสักนิด เพราะหากยิงสกรูแรงเกินไปก็อาจทำให้แหวนยางรองขาดหรือวัสดุมุงหลังคาแตกได้ 

2. กระเบื้องหลังคามีรอยร้าว 

          วิธีสังเกตรอยรั่วคล้าย ๆ กับปัญหาแรก แต่แตกต่างกันตรงที่หากมีรอยรั่วตรงสกรูจะเห็นแสงเป็นจุดเล็ก ๆ ในขณะที่หากกระเบื้องหลังคามีรอยร้าว จะเห็นช่องแสงเป็นทางยาวตามรอยแตก ซึ่งสาเหตุนั้นก็เกิดจากมีสิ่งของตกลงมากระแทก การเจาะกระเบื้องแรงเกินไป มุงหลังคาไม่สลับแนว หรือระยะทับซ้อนของกระเบื้องไม่เหมาะสม ทั้งนี้หากจะเปลี่ยนกระเบื้องใหม่ควรใช้กระเบื้องรุ่นเดิมเพื่อให้เข้ากับแนวลอนหลังคาเก่า หรือซ่อมแซมด้วยอะคลิลิกกันซึมทาปิดบริเวณที่มีรอยแตก

3. มีรูรั่วที่สันครอบหลังคา 

          ถือเป็นบริเวณที่สังเกตเห็นได้ยาก เพราะเป็นส่วนที่อยู่ภายนอก กว่าจะรู้ตัวอีกทีก็ตอนมีน้ำรั่วเข้ามาในบ้าน ซึ่งสาเหตุที่ทำให้บริเวณนี้มีปัญหา ได้แก่ ติดตั้งสันครอบหลังคาผิดวิธี ทำให้เกิดช่องโหว่ระหว่างที่ครอบกับหลังคา วางแนวกระเบื้องตรงรอยต่อห่างกันเกินไป หรือมีรอยร้าวที่ปูนปั้นใต้สันครอบหลังคา ถ้าไม่อยากเสียเวลารื้อสันครอบหลังคาแล้วติดตั้งใหม่ ให้ปิดรอยแตกด้วยปูนและทาวัสดุกันซึม เช่น น้ำยาอะคริลิกเพื่อป้องกันน้ำไว้อีกชั้น แต่ถ้าหากมีปัญหาที่ปูนปั้นให้สกัดปูนเก่าออกแล้วฉาบปูนใหม่เข้าไป 

4. รอยต่อส่วนต่อเติมมีปัญหา 

          สำหรับบ้านที่มีการต่อเติมโครงสร้างออกไป อย่างเช่น ห้องครัวหลังบ้านหรือโรงรถ มักจะมีรอยรั่วระหว่างหลังคากับผนังตรงส่วนที่เรียกว่า ปีกคลส. หรือปีกคอนกรีตเสริมเหล็ก มีรอยร้าวหรือไม่ประสานกับผนังบ้าน ส่วนอีกหนึ่งสาเหตุก็คือต่อเติมแบบไม่ใช้ปีกคลส. เลยทำให้เกิดช่องว่างและฝนตกรั่วลงมา ทั้งนี้สามารถแก้ไขโดยใช้วัสดุกันซึมทาปิดรอยรั่วระหว่างส่วนต่อเติมกับผนังบ้าน ก็จะช่วยป้องกันบ้านช่วงหน้าฝนได้อีกทางหนึ่ง 

5. โครงสร้างผุหลังคาแอ่น 

          อีกหนึ่งสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดรอยรั่วบนหลังคาก็คือ หากสังเกตุเห็นหลังคาเริ่มผิดรูป ก็เป็นไปได้ว่าโครงสร้างหลังคาเริ่มเสื่อมสภาพเนื่องจากผ่านการใช้งานมาหลายปี รวมถึงสาเหตุอื่น ๆ เช่น โครงเหล็กเป็นสนิมจนผุ หรือแมลงกินโครงไม้จนทรุด ทำให้โครงสร้างรับน้ำหนักหลังคาไม่ไหวจนเริ่มเสียทรงและเกิดช่องว่างระหว่างรอยต่อของกระเบื้องมุงหลังคา แต่เนื่องจากเป็นปัญหาเกี่ยวกับโครงสร้าง ซ่อมแซมด้วยตัวเองได้ยาก ดังนั้นจึงควรปรึกษากับวิศกร เพื่อแก้ไขได้ตรงจุด 

          หลังคารั่ว อาจจะเกิดรูเล็ก ๆ แต่ก็สร้างปัญหาใหญ่ได้ เพราะอย่างที่บอกไปว่าเมื่อน้ำฝนไหลซึมเข้าบ้านนั้น ไม่ได้ทำให้บ้านสกปรกอย่างเดียว แต่ยังทำให้ของในบ้านเสียหาย และอาจจะเกิดเชื้อราตามมาอีกต่างหาก เพราะฉะนั้นหากรู้แล้วว่ามีจุดเสี่ยงตรงไหนบ้าง ก็อย่าลืมซ่อมแซมกันนะคะ 

ขอขอบคุณข้อมูลจาก jorakay, scgbuildingmaterials, weareafirm และ multiladderth
เครดิตภาพ  https://www.pinterest.com/pin/1337074884862016/

Friday, July 3, 2020

เตรียมบ้านรับหน้าฝนอย่างไรให้ปลอดภัย


 วิธีเตรียมบ้านรับหน้าฝน เพื่อความปลอดภัยของบ้านและครอบครัว เพื่อให้บ้านเราผ่านหน้าฝนนี้ไปได้อย่างปลอดภัย

         เริ่มชุ่มฉ่ำกับสายฝนกันแล้ว เป็นสัญญาณว่าถึงคราวที่ฤดูฝนได้เวียนกลับมาอีกครั้ง แต่การที่ฝนตกเช้า ตกเย็น ตกไม่เป็นเวลาอย่างนี้ ก็อาจจะกระทบกระเทือนกับบ้านของเราทั้งเปียกแฉะเลอะเทอะ อีกทั้งยังอาจเกิดความเสียหายกับบ้านได้ด้วย ดังนั้นเรามาเตรียมบ้านให้พร้อมรับหน้าฝนกันด้วยวิธีต่อไปนี้กันดีกว่าค่ะ บ้านเราจะได้ผ่านหน้าฝนนี้ไปได้อย่างปลอดภัย

1. เคลียร์ท่อและรางน้ำฝนให้โล่ง

         ในช่วงฤดูร้อนหรือฤดูหนาว สายลมอาจจะพัดพาใบไม้ให้ร่วงหล่นตกค้างในท่อน้ำ รางน้ำฝน และหลังคาบ้าน จนอาจจะกลายเป็นสิ่งกีดขวางทางเดินของน้ำ ให้ไหลไม่สะดวก เกิดการเอ่อล้นเสี่ยงน้ำท่วมบ้านได้ ยิ่งถ้ามีสิ่งกีดขวางบนหลังคาบ้านมาก ๆ น้ำฝนที่ตกลงมาก็จะไม่ไหลไปตามร่องกระเบื้องมุงหลังคา แต่จะไหลมาด้านข้าง รดขอบหน้าต่างและผนังให้เสียหายแทน ดังนั้นเราควรจะเคลียร์ท่อน้ำและรางน้ำฝนให้โล่งเสียก่อน ด้วยการปัดกวาดเศษใบไม้และสิ่งอุดตันออกจากท่อให้หมด จากนั้นหากไม่มีอุปกรณ์หรือไม่รู้วิธีลอกท่อที่ถูกต้อง แนะนำให้ปรึกษาช่างผู้ชำนาญการ ให้เขามาลอกท่อให้เลยดีกว่า

2. อุดทุกรอยรั่ว

         ตรวจเช็กให้แน่ใจว่าหลังคา ฝ้า และเพดาน ไม่มีรอยรั่ว แตกร้าวหรือมีช่องให้น้ำผ่านเข้ามาได้ ควรซีลขอบหน้าต่างให้เรียบร้อย และจะดีมากถ้าใช้ยางซีลชนิดที่กันน้ำได้ หากจุดใดเกิดการชำรุดก็ต้องจัดการซ่อมแซมโดยทันที เพื่อในวันที่มีพายุฝนกระหน่ำ จะได้ไม่ต้องกังวลว่าน้ำฝนจะเล็ดลอดเข้ามาในบ้านให้ต้องเหนื่อยเช็ดถู และเฟอร์นิเจอร์จะได้ไม่โดนน้ำฝนทำลายให้เสียหายด้วย นอกจากนี้อย่าลืมหาเกราะป้องกันน้ำให้คอมเพรสเซอร์เครื่องปรับอากาศด้วยนะคะ อาจจะต้องลงทุนกันมากหน่อยแต่รับรองว่าคุ้มไปตลอดทั้งปีแน่ ๆ จ้า

3. ใส่ใจสิ่งเล็ก ๆ น้อย ๆ

         อย่าลืมใส่ใจสิ่งเล็ก ๆ น้อย ๆ เช่น สระว่ายน้ำ สนามหญ้าหน้าบ้าน ที่ควรต้องลดระดับน้ำในสระ และรดน้ำต้นไม้ให้น้อยลง เผื่อไว้สำหรับรองรับน้ำฝนที่จะตกลงมาด้วย อีกทั้งถ้าหน้าต่างบ้านเป็นหน้าต่างไม้ ก็ควรต้องลงทุนทาสีชนิดกันน้ำได้ แทนสีเก่า เพื่อให้ช่วยป้องกันน้ำฝนซึมลงในเนื้อไม้ จนทำให้หน้าต่างบวมเสียรูป รายละเอียดยิบย่อยแบบนี้แต่ละบ้านก็มีไม่เหมือนกัน ดังนั้นช่วงที่ใกล้จะเข้าหน้าฝนอย่างนี้ แนะนำให้คุณสำรวจดูให้ทั่วบ้าน และจดรายการที่ต้องเตรียมป้องกันน้ำฝนกันให้ดีด้วย

4. ป้องกันลมพัดทำลายข้าวของ

         หน้าฝนมักจะมาพร้อมกับพายุ และลมแรง ๆ ซึ่งอาจจะทำลายสวนสวย ร่มกลางสนาม ถังขยะ หรือข้าวของที่สามารถปลิว ร่วงหลุด หรือหักงอได้ง่าย ดังนั้นคงดีกว่าถ้าเราจะเก็บสิ่งของเหล่านี้ในที่ปลอดภัย เช่น ในโรงรถ หรือห้องเก็บของไว้ก่อน เพื่อป้องกันลมแรง ๆ มาพัดข้าวของให้ปลิวกระจัดกระจาย เสียหายในภายหลัง หากเป็นของที่ไม่สามารถเก็บเข้าที่ได้ ลองหาอะไรยึดไว้ให้แข็งแรงก็จะปลอดภัยขึ้นนะ

5. อย่าลืมเรื่องไฟฟ้า
        
         สำหรับบ้านไหนที่ต่อเติมบ้านไปเมื่อช่วงฤดูร้อนและยังสร้างไม่เสร็จเรียบร้อย หรือมีการตั้งโต๊ะจัดปาร์ตี้ที่สนามหน้าบ้าน ก็ควรต้องตรวจเช็กให้ดี ว่ามีสายไฟ หรือการต่อเครื่องใช้ไฟฟ้าชนิดอื่นค้างไว้หรือเปล่า เพราะถ้าหากลืมเก็บเครื่องใช้ไฟฟ้า หรือสายไฟเหล่านี้ อาจเกิดอันตราย เช่น ไฟช็อต ไฟรั่ว ในขณะที่ฝนตกได้นะจ๊ะ

6. ตัดกิ่งไม้ให้เรียบร้อย

         หน้าฝนที่ลมแรง ๆ อย่างนี้หากกิ่งไม้หรือต้นไม้เกิดโค่นทับหลังคาบ้านก็คงไม่ดีแน่ ฉะนั้นในวันที่ฟ้าปลอดโปร่ง เราก็จัดการตัดแต่งกิ่งไม้ที่ใกล้จะหัก หรือกิ่งที่ค่อนข้างใหญ่ลงก่อนดีกว่า และอย่าลืมเคลื่อนย้ายต้นไม้ดอกไม้กระถางเล็ก ๆ ที่เสี่ยงจะปลิวไปกับสายลมไว้ในที่ปลอดภัยด้วยนะคะ

7. เตรียมไฟฉายให้พร้อม

         ในวันที่มีพายุลูกใหญ่พัดถล่ม ไฟก็อาจจะดับใช้การไม่ได้ ดังนั้นทางที่ดีเราควรเตรียมไฟฉาย หรือเทียนไขให้พร้อมก่อนดีกว่า เช็กให้แน่ใจด้วยว่ามีอุปกรณ์ครบพร้อมใช้งานทุกอย่าง ทั้งถ่านไฟฉาย เทียนไข ไฟแช็ก และควรเก็บของเหล่านี้ไว้ในที่ที่หยิบใช้งานได้สะดวกที่สุดด้วย เผื่อเกิดไฟดับขึ้นมาจะได้ไม่งงอยู่ในความมืดกันนานเกินไป

 
         เริ่มเข้าหน้าฝนกันแล้ว ยังไงก็อย่าลืมทำตามคำแนะนำที่เรานำมาฝากกันด้วยนะคะ บ้านจะได้ไม่โดนพายุฝนและลมแรง ๆ ถล่มให้ต้องเสียหาย ผ่านหน้าฝนกันมาได้อย่างปลอดภัย และถึงอย่างไรป้องกันไว้ก่อนก็ดีกว่าแก้แน่ ๆ จริงไหมจ๊ะ?

Sunday, June 7, 2020

5 จุดเสี่ยงในบ้านที่งูมักจะเข้าไปซ่อน ระวังไว้ก่อนโดนเหล่าอสรพิษทำร้าย



        ตรงนี้แหละงูชอบ ! 5 จุดเสี่ยงที่มักจะเจองูในบ้าน รู้แล้วระวังตัวไว้ จะได้หาวิธีป้องกันถูก

        งู  ถือเป็นสัตว์เลื้อยคลานที่อันตรายถึงชีวิต คงไม่มีใครอยากเผชิญหน้ากับพวกมัน แต่บางครั้งก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ เมื่อเหล่าอสรพิษเลื้อยเข้ามาอยู่ในบ้านของเราเอง เห็นได้จากข่าวคราวที่ขึ้นมาบนหน้าฟีดบ่อย ๆ ซึ่งสาเหตุที่งูชอบเข้ามาอยู่ในบ้านคนก็เพราะบ้านเป็นทั้งแหล่งอาหารชั้นดีและแหล่งกบดานที่ปลอดภัย สภาพแวดล้อมเหมาะจะเป็นที่ซ่อนตัวและวางไข่ แถมยังไม่ค่อยมีศัตรูมาก่อกวน โดยเฉพาะ 5 จุดในบ้านเหล่านี้ ที่เราอยากเตือนให้ระมัดระวังกันไว้ โดยเฉพาะในช่วงหน้าฝนนี้

1. รอยแตกหรือรอยร้าวบนผนัง และร่องใต้ประตู

          รอยแตก รอยร้าว หรือร่องใต้ประตู ถือเป็นช่องว่างที่เปิดให้งูเข้ามาในบ้านของเราได้ง่ายที่สุด ฉะนั้นถ้าหากใครไม่อยากให้งูเข้ามาหาอาหารหรือวางไข่ในบ้านละก็ ให้รีบอุดรอยร้าวเหล่านั้นไว้เลย รวมถึงอย่าลืมมองหาที่กั้นประตูมาครอบปิดขอบด้านล่างเอาไว้ด้วย เพราะนอกจากจะช่วยป้องกันงูแล้ว ยังช่วยป้องกันจิ้งจก แมลงสาบ และช่วยไม่ให้แอร์กระจายออกนอกบ้านอีกต่างหาก



2. บนเพดาน

          เหตุผลที่งูมักจะเลื้อยขึ้นไปอยู่บนฝ้า บนเพดาน หรือบนห้องใต้หลังคาก็เป็นเพราะว่าพวกมันตามกลิ่นหนู ซึ่งเป็นอาหารโปรดของมันนั่นเอง ดังนั้นถ้าหากไม่อยากให้งูเข้ามาอยู่ในบ้านละก็ อันดับแรกเลยก็คือหาทางไล่หนูเหล่านั้นออกไป เพื่อกำจัดแหล่งอาหารของงู ต่อมาทำการอุดช่องว่างช่องโหว่อย่าให้มีรูที่งูสามารถเลื้อยเข้าไปได้ เพราะถึงแม้จะไม่มีอาหารแต่ก็มีโอกาสที่งูอาจจะขึ้นไปทำรังเพื่อวางไข่ก็เป็นได้

          วิธีไล่หนูออกจากบ้าน โดยไม่ต้องฆ่า

3. ห้องน้ำ

          ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่าห้องน้ำเป็นบริเวณที่เจองูบ่อยที่สุดในบ้าน โดยเฉพาะตรงชักโครก อื้อหือ...ไม่อยากจะคิดเลยว่าถ้ากำลังทำธุระส่วนตัว แล้วอยู่ดี ๆ งูโผล่ขึ้นมาจะทำยังไง เพราะฉะนั้นป้องกันไว้ตั้งแต่เนิ่น ๆ โดยคอยสังเกตระบบการไหลเวียนของน้ำว่าปกติไหม ระบายน้ำช้าหรือเปล่า ท่อมีกลิ่นไหม ที่สำคัญต้องหมั่นสำรวจ ตรวจเช็ก และระมัดระวังก่อนใช้ห้องน้ำทุกครั้ง รวมถึงถ้าในห้องน้ำมีถังเกรอะหรือถังบำบัดน้ำเสียก็ต้องคอยปิดฝาให้แน่นสนิทด้วย

4. กระถางต้นไม้

          บริเวณนี้คนรักการปลูกต้นไม้ควรระวังเป็นพิเศษ เพราะกระถางต้นไม้ก็เป็นอีกจุดที่มักจะเจองูอยู่บ่อย ๆ เนื่องจากเป็นแหล่งที่มีทั้งดิน ทั้งพืช ซึ่งเป็นของโปรดของงู อีกทั้งความเย็นจากการรดน้ำก็ยังเป็นที่ชื่นชอบของมันอีกต่างหาก เอาเป็นว่างานนี้ใครที่คิดจะปลูกต้นไม้ในบ้าน หรือย้ายต้นไม้เข้าบ้านก็ต้องระวังเอาไว้สักนิด หมั่นตรวจเช็กใต้ดิน ใต้กระถางให้ละเอียด เท่านี้ก็ช่วยได้แล้วค่ะ

5. ในสวน

          ไม่ว่าจะสวนหน้าบ้าน สวนข้างบ้าน หรือสวนหลังบ้าน ก็ถือเป็นแหล่งอาหารและแหล่งพักพิงชั้นดีของงู โดยเฉพาะอย่างยิ่งสวนที่รก หญ้าสูง และไม่ได้ดูแล ดังนั้นจึงเป็นเรื่องสำคัญมากที่เราต้องคอยตัดหญ้า เก็บกวาด และจัดสวนให้สวยงามเป็นระเบียบอยู่เสมอ จะได้ช่วยป้องกันและทำให้มองเห็นงูได้ชัด ไม่เผลอเข้าใกล้จนเกิดอันตราย ส่วนวิธีป้องกันงูเลื้อยเข้ามาอยู่ในสวนก็ทำได้ง่าย ๆ โดยกับดักมาล่อ โรยทรายแมวให้ทั่ว หรือปลูกต้นไม้กันงู แต่ถ้าหากเจองูอยู่ในสวนแล้วละก็ ไม่ควรฆ่าเอง แต่รีบเรียกผู้เชี่ยวชาญมาช่วยจับออกไปดีกว่า

          5 ต้นไม้กันงูควรปลูกไว้ในสวน ช่วยป้องกันงูเข้าบ้านได้ !

          หากจะตัดไฟตั้งแต่ต้นลม ก่อนเข้าหน้าฝนเต็มตัว สามารถป้องกัน งูเข้าบ้านได้ง่าย ๆ โดยกำจัด "หนู" ที่เป็นอาหารอันโอชะของงู และหมั่นเก็บกวาดทำความสะอาดทั้งภายในและภายนอกบ้านให้เป็นระเบียบ เพื่อลดแหล่งที่อยู่ หรือเลี้ยงสัตว์ที่เป็นศัตรูกับงู เช่น สุนัขหรือแมว เอาไว้ที่บ้าน เพียงเท่านี้ก็ช่วยป้องกันงูเข้าบ้านได้แล้วค่ะ

ขอขอบคุณข้อมูลจาก สถานีดับเพลิงสามเสน, familyhandyman, wildliferemovalusa, crittercontrol, huffpost และ hunker

Friday, June 5, 2020

วิธีแก้ปัญหาน้ำรั่วบนเพดาน ป้องกันเชื้อราช่วงหน้าฝน



          วิธีแก้ปัญหาน้ำรั่วบนเพดาน หน้าฝนทุกปีต้องมีผวาและต้องคอยลุ้นว่าน้ำฝนจะรั่วมาจากตรงไหนบ้าง เอาเป็นว่าถ้าอยากนอนสบาย ๆ เรามาลงมือซ่อมเพดานกันเถอะ ก่อนที่น้ำจะท่วมทั้งในและนอกบ้าน

           ใครล่ะจะไม่ชอบอยู่บ้านอากาศเย็น ๆ สบาย ๆ ตอนฝนตก แต่เจ้าน้ำที่หยดติ๋ง ๆ ลงมาจากรูรั่วบนเพดานนี่สิ ที่ทำให้หลายคนอารมณ์เสียจนแทบไม่อยากให้ถึงหน้าฝนเลยจริง ๆ เพราะนอกจากจะต้องวิ่งวุ่นหากระบะมารองน้ำ ไหนจะต้องเอาผ้ามาเช็ดแอ่งน้ำย่อม ๆ กลางบ้านแล้วเนี่ย ก็ต้องมาลุ้นต่ออีกว่าจะเกิดจุดด่างดำของเชื้อราบนฝ้าเพดานหรือเปล่า หากไม่อยากให้ปัญหาเกิดซ้ำแล้วซ้ำอีก รีบลงมือซ่อมรอยรั่วเหล่านั้นกันเถอะพวกเรา ! 

1. รีบย้ายสิ่งของโดยพลัน

          เคลื่อนย้ายสิ่งของออกจากบริเวณที่มีน้ำหยด เพื่อป้องกันการเกิดความเสียหาย หากเป็นของหนักไม่สะดวกต่อการเคลื่อนย้าย เช่น โซฟา ตู้เก็บของ หรือชั้นวางของ ให้คลุมทับด้วยพลาสติกผืนใหญ่เอาไว้ ก่อนที่ความชื้นจะพาเชื้อราเข้ามา และทำให้เฟอร์นิเจอร์สวย ๆ ของคุณผุพัง

2. ออกสำรวจรูเจ้าปัญหา

          หลังจากนั้นก็มองหารอยรั่ว โดยสังเกตจากจุดแสงเล็ก ๆ บนพื้นตอนแดดออก ซึ่งวิธีนี้จะทำให้คุณรู้ตำแหน่งที่ชัดเจนมากกว่าดูจากตำแหน่งน้ำหยด เพราะจุดที่น้ำฝนหยดลงมา อาจเป็นน้ำที่แทรกซึมมาตามรอยแตกบนผนังก็ได้

3. เช็กรอยรั่วภายใน

          ที่จำเป็นจะต้องควรตรวจสอบรอยรั่วในบ้านซ้ำอีกครั้ง ก็เพื่อเช็กให้มั่นใจว่ารอยน้ำเหล่านั้นไม่ได้เกิดจากการอาบน้ำ ล้างมือ หรือทำธุระส่วนตัวอื่น ๆ รวมไปถึงรอยรั่วบนท่อประปาภายในบ้าน และจะได้แก้ปัญหาให้ถูกจุดยังไงล่ะ  

4. โทรเรียกช่าง

          หากเจอปัญหาหลังการตรวจสอบ ควรจะโทรศัพท์เรียกช่างสักนิด ให้เข้ามาแก้ไขและอธิบายว่าพวกเขาต้องทำอะไรบ้าง ซึ่งบางครั้งก็อาจจำเป็นจะต้องถอดหลังคาบางส่วนออก เพื่อหาต้นตอของรอยรั่วด้วย

5. ลงมือซ่อมทันที

          หากตอนนี้รู้แล้วว่ารอยรั่วอยู่ตรงไหน ควรจะลงมือซ่อมแซมทันที อย่าปล่อยปัญหาไว้นานไม่อย่างนั้นรอยรั่วเล็ก ๆ อาจเกิดปัญหาใหญ่ เช่น กลายเป็นแหล่งสะสมของเชื้อโรค เชื้อรา หรือเหล่าสัตว์น้อยใหญ่ที่ชอบอาศัยอยู่ตามมุมชื้นแฉะ

6. เปลี่ยนรางน้ำ

          แต่หากเป็นเพราะรางน้ำตะเข้ผุกร่อน ควรเปลี่ยนรางน้ำใหม่ที่มีปีกกว้างและลึกมากกว่าเดิม เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการรองรับน้ำ ถ้าเกิดจากแผ่นกระเบื้องให้อุดรอยรั่วเหล่านั้นด้วยวัสดุยาแนวที่มีความยืดหยุ่นสูง หรือกาวซีเมนต์ แต่ถ้าหากรอยร้าวค่อนข้างมากควรเปลี่ยนแผ่นใหม่ทันที สำหรับในส่วนของอุปกรณ์ยึดหลังคา อย่างเช่น ตะปู ตะขอ หรือแหวนยางสามารถแก้ปัญหาได้ โดยการนำซิลิโคนอุดรอยรั่วเอาไว้ แต่หากน้ำฝนรั่วบริเวณปูนปั้นให้ปิดรอยแตกด้วยแผ่นปิดรอยต่อที่มีส่วนผสมของยางมะตอยเสริมใยเหล็ก และกาวปิด คราวนี้ปัญหาที่เคยกวนใจก็หายไปแล้วล่ะ

           เรื่องเพดานรั่วคงเป็นปัญหากวนใจใครหลายคนมานาน โดยเฉพาะช่วงหน้าฝนแบบนี้ เพราะแทนที่จะได้นอนพักผ่อนอย่างสบายใจ กลับต้องคอยระวังเรื่องน้ำรั่ว ดีไม่ดีอาจจะทำให้บ้านและของใช้เสียหายอีกด้วย รู้แบบนี้รีบลงมือซ่อมแซมตั้งแต่ตอนนี้เลยดีกว่า เพราะไม่เพียงแต่จะนอนหลับโดยไม่ต้องกังวลแล้ว ยังไม่ต้องรับภาระค่าใช้จ่ายที่ต้องนำไปใช้ซ่อมแซมบ้านอีกด้วยนะคะ

ขอขอบคุณข้อมูลจาก ehow.com
https://home.kapook.com/view123173.html
เครดิตภาพ  https://www.pinterest.com/pin/140806231655786/

Wednesday, June 3, 2020

8 วิธีทำความสะอาดแก้ปัญหาพื้นลื่น ลดโอกาสเสี่ยงตายจากการเดินลื่นล้มในบ้าน


          วิธีทำความสะอาดพื้น แก้ปัญหาพื้นลื่นด้วยวิธีง่าย ๆ เพื่อลดการเกิดอุบัติเหตุในบ้าน โดยเฉพาะเด็กและผู้สูงอายุ ป้องกันการเดินลื่นล้มในบ้าน


          เชื่อไหมคะว่าการลื่น ตก หกล้ม เป็นอุบัติเหตุที่คร่าชีวิตผู้คนเป็นอันดับสองรองจากอุบัติเหตุทางถนนเลยทีเดียว โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับผู้สูงอายุที่ร่างกายไม่ค่อยแข็งแรง แถมมีการทรงตัวที่ไม่ค่อยดี จึงทำให้เสี่ยงประสบอุบัติเหตุลื่นล้ม บาดเจ็บได้ง่าย โดยเฉพาะพื้นลื่นในบ้าน ฉะนั้นเพื่อช่วยลดการเกิดอุบัติเหตุและป้องกันการลื่นล้ม วันนี้กระปุกดอทคอมจึงได้รวบรวมวิธีป้องกันและแก้ปัญหาพื้นลื่นมาฝากค่ะ


1. หมั่นทำความสะอาด

          คราบสกปรกหรือคราบน้ำ เช่น น้ำเปล่า น้ำมัน น้ำฝน เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้พื้นลื่น ฉะนั้นเราจึงต้องหมั่นทำความสะอาดให้ถูกต้อง โดยควรเลือกใช้อุปกรณ์และวิธีการให้เหมาะสมกับสภาพพื้นผิว และควรถูและกำจัดคราบสกปรกออกจากพื้นให้หมดเกลี้ยง อย่าให้มีสารจากน้ำยาทำความสะอาดตกค้าง และทำให้พื้นแห้งสนิททุกครั้งหลังจากถูเสร็จด้วย   

2. กำจัดสิ่งกีดขวางออกให้หมด

          เพียงแค่เราจัดเก็บสิ่งของต่าง ๆ ให้เป็นระเบียบและเข้าที่เข้าทาง ไม่ปล่อยให้มีสิ่งของชิ้นเล็กชิ้นน้อยมาเกะกะและกีดขวางทางเดิน รวมถึงหมั่นกำจัดเศษขยะต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น เปลือกผลไม้ เศษถุงพลาสติก หรือเศษใบไม้ ออกจากพื้น เท่านี้ก็จะช่วยลดความเสี่ยงในการลื่นและหกล้มได้ง่าย ๆ แล้ว อ้อ แล้วพวกสายไฟต่าง ๆ ก็ควรจะต้องยึดติดไว้กับพื้นหรือซ่อนไว้ใต้พรมเพื่อช่วยป้องกันการเดินสะดุดด้วยนะคะ   

3. มีราวจับสำหรับทางลาดชัน

          สิ่งสำคัญอีกหนึ่งอย่างที่ช่วยป้องกันปัญหาการลื่นล้มได้ก็คือ ราวเกาะหรือราวจับ ไม่ว่าจะเป็นในห้องน้ำ ห้องนอน หรือทางลาดชัน เราก็ควรติดตั้งราวจับเอาไว้ทั้งหมด เพราะว่าราวจับสามารถช่วยประคองการเดินและลดความเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุลงได้ แล้วยิ่งถ้าบ้านในมีผู้สูงอายุ ผู้ป่วย หรือเด็กเล็กอยู่ด้วยละก็ ยิ่งไม่ควรพลาดติดตั้งราวจับไว้ในพื้นที่สำคัญต่าง ๆ เด็ดขาด 

4. ติดตั้งแสงสว่างให้เพียงพอ

          ถึงแม้บางคนจะชอบไฟมืด ๆ สลัว ๆ แต่ต้องบอกเลยว่าถ้าอยากให้คนในครอบครัวปลอดภัยจากอุบัติเหตุแล้วละก็ ต้องเปลี่ยนมาใช้หลอดไฟที่ให้แสงสว่างได้อย่างเพียงพอ เพื่อช่วยเพิ่มการมองเห็นบริเวณพื้นลื่น พื้นเปียก พื้นมีน้ำขัง รวมถึงสิ่งกีดขวางต่าง ๆ ได้อย่างชัดเจน จะได้ลดการเกิดอุบัติเหตุลงได้ง่ายๆ นั่นเอง

5. ใช้วัสดุกันลื่น

          ปัจจุบันนี้มีนวัตกรรมมากมายที่ช่วยให้ชีวิตของเราสะดวกสบายและง่ายขึ้น ซึ่งสำหรับคนที่อยากแก้ปัญหาพื้นลื่นแบบไม่ยุ่งยาก ก็เพียงแค่ไปหาใช้วัสดุกันลื่นสำหรับพื้น เท่านี้ก็สบายหายห่วงเรื่องอุบัติเหตุลื่นล้มได้ง่าย ๆ แล้ว ไม่ว่าจะเป็นน้ำยาเคลือบพื้นกันลื่น การปูพรมกันลื่น การติดตั้งแผ่นกันลื่น รวมทั้งกระเบื้องผิวหยาบ เป็นต้น

6. หมั่นเช็กสภาพพื้นอยู่เสมอ

          เพื่อป้องกันไม่ให้ปัญหาพื้นลื่นหรืออุบัติเหตุต่าง ๆ เกิดขึ้น เราต้องหมั่นเช็กและดูแลรักษาสภาพพื้นให้ดีอยู่เสมอ โดยสิ่งสำคัญคือการตรวจสอบและบำรุงไม่ให้มีรู รอยแตก รอยแยก หรือรอยร้าว เพื่อช่วยไม่ให้มีสิ่งสกปรก ฝุ่น หรือน้ำเข้าไปอุดตัน รวมถึงยังต้องคอยเช็กว่าพื้นผิวยังมีประสิทธิภาพที่ดีอยู่ไหม เพื่อป้องกันปัญหาการลื่นล้ม และทางที่ดีควรหันมาใช้พื้นผิวที่หยาบหรือกันลื่นแทนพื้นผิวขัดมัน เพื่อช่วยให้สามารถยึดเกาะได้ดีมากยิ่งขึ้นด้วย

7. ติดพรมกับพื้นให้แน่น

          สำหรับบ้านที่ปูพรม ปูเสื่อ หรือปูเสื่อน้ำมัน เพื่อช่วยแก้ปัญหาพื้นลื่น อย่าลืมดึงวัสดุต่าง ๆ ให้ตึง หรือติดเทปไว้ด้านล่างกับพื้นให้แน่นสนิท เพื่อป้องกันการขยับเขยือนหรือเลื่อนไหลขณะที่เราเดินผ่านจนทำให้ลื่นล้มได้นั่นเอง

8. สวมรองเท้าเดิน

          การเลือกใช้รองเท้าให้มีประสิทธิภาพและเหมาะสมกับพื้นผิว ถือเป็นอีกหนึ่งวิธีที่ช่วยแก้ปัญหาพื้นลื่นและลดอุบัติเหตุลื่นล้มลงได้ง่าย ๆ โดยถ้าหากบ้านใครที่พื้นค่อนข้างลื่น มีน้ำขัง หรือมีฝนตกบ่อย ๆ ก็ควรหันมาเลือกใช้รองเท้าที่มีดอกยางและมีประสิทธิภาพสูง เพื่อช่วยป้องกันอุบัติเหตุนั่นเอง อ้อ แล้วอย่าลืมก้าวเดินอย่างระมัดระวังหรือค่อย ๆ เดินช้า ๆ เมื่อรู้ว่าพื้นเปียกหรือพื้นลื่นด้วยนะคะ

          เห็นไหมคะว่าปัญหาพื้นลื่นเป็นอันตรายร้ายที่อยู่ใกล้ตัวเรามาก ๆ ทว่าเราก็สามารถลดและป้องกันพื้นลื่นได้ง่าย ๆ ฉะนั้นถ้าหากใครไม่อยากให้คนที่รักเกิดอุบัติเหตุลื่นล้มละก็ ต้องคอยหมั่นดูแล แก้ปัญหา และป้องกันพื้นลื่นเอาไว้อย่างสม่ำเสมอ เท่านี้ก็จะช่วยให้คุณและคนในครอบครัวปลอดภัยจากอุบัติเหตุได้ไม่ยากแล้วค่ะ

ขอขอบคุณข้อมูลจาก interstaterestoration, ccohs, worksafe.qld.gov.auโรงพยาบาลเปาโลกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน และ dcctoyou

Sunday, May 24, 2020

10 ทิปส์ง่าย ๆ เปลี่ยนบ้านให้เงียบสงบน่าพักผ่อน



เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

         วิธีจัดบ้านให้เหมาะกับการพักผ่อน เปลี่ยนบรรยากาศรก ๆ ไม่สวยงาม ให้เป็นบ้านเงียบสงบที่เรียกว่าบ้านอย่างแท้จริงกันเถอะ

          ทุกวันนี้หากคุณเข้าบ้านแล้วรู้สึกไม่มีความสุข เพราะดูวุ่นวายไปหมดไม่ว่าจะเป็นคนหรือสิ่งของ แสดงว่าถึงเวลาแล้วที่ควรจะลงมือจัดการบรรยากาศภายในบ้านเสียใหม่ เพื่อบ้านที่ทั้งเงียบและสงบ พร้อมกับสัมผัสได้ถึงการพักผ่อนที่แท้จริง อีกทั้งหากได้อาศัยอยู่ในบ้านที่ทั้งเงียบและสงบ ก็เหมือนเป็นการเพิ่มพลังสำหรับทำกิจกรรมต่าง ๆ และสร้างแรงบันดาลใจการทำสิ่งใหม่ ๆ ไปในตัวด้วย ดังนั้นเรามาจัดบ้านใหม่ให้สวย สงบ เป็นบ้านอย่างแท้จริงกันนะคะ

 1. ให้ความสำคัญกับทุกห้องอย่างเท่าเทียม

          ถึงแม้ว่าจะเป็นห้องที่ไม่ได้ใช้งานบ่อย ๆ หรืออยู่ในความสนใจมาก เช่น ห้องใต้หลังคา หรือห้องเก็บของ แต่ก็ต้องให้ความสำคัญกับห้องเหล่านี้ด้วยเช่นกัน ซึ่งนอกจากจะหมายถึงการตกแต่งให้ดูสวยงามแล้ว ยังรวมไปถึงการทำสิ่งที่ค้างคาเอาไว้มานานให้เสร็จสิ้นด้วย เพื่อทำให้ส่วนต่าง ๆ ของบ้านกลมกลืนกัน พร้อมทั้งยังทำให้บ้านมีความเป็นระเบียบและเรียบร้อยมากขึ้น

2. จัดของใช้ให้เป็นที่เป็นทาง

          หากก่อนหน้านี้เสียเวลาหาของที่จะใช้อยู่นาน เพระไม่รู้ว่านำไปตั้งไว้ที่ไหน หรือมีอะไรวางทับอยู่หรือไม่ ถึงเวลาแล้วที่ควรจะจัดเก็บสิ่งของแต่ละชิ้นแต่ละประเภทให้เป็นระเบียบ และที่สำคัญควรมองเห็นได้ง่าย โดยเฉพาะสิ่งของที่จำเป็นต้องใช้บ่อย ๆ เช่น กุญแจ กระเป๋าสตางค์ หรืออุปกรณ์สำหรับพกพาชนิดต่าง ๆ

 3. ศึกษาข้อมูลให้รอบคอบก่อนเปลี่ยนสีผนัง

          สีแต่ละสีมีผลกระทบกับความรู้สึกและร่างกายของเราโดยตรง อีกทั้งยังมีอิทธิพลมากมายถึงขนาดสามารถเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิ ความอยากอาหาร อารมณ์ รวมไปถึงระดับพลังงานได้เลยทีเดียว แต่อย่างไรก็ตามหลังจากที่ศึกษาข้อมูลเสร็จแล้ว ก็ควรจะสังเกตความรู้สึกที่เปลี่ยนไปของตัวเองก่อนที่จะตัดสินใจขั้นสุดท้ายด้วย

 4. กำจัดของที่ทำให้รู้สึกไม่ดีออกไป

          ไม่ว่าจะเป็นของตกแต่ง เฟอร์นิเจอร์ หรือของใช้ เช่น ภาพวาดติดฝาผนัง เก้าอี้เก่ามีราคา หรืออะไรก็ตามที่ทำให้ไม่สามารถอธิบายความรู้สึกออกมาเป็นคำพูดได้ โดยเฉพาะเมื่อมองดูสิ่งของเหล่านี้แล้วรู้สึกไม่ดี หรือมีความทรงจำแย่ ๆ เกี่ยวกับมันควรจะรีบนำไปกำจัดทิ้ง ก็จะทำให้บรรยากาศในบ้านใกล้เคียงกับคำว่า เงียบและสงบมากขึ้น

 5. สร้างความทรงจำดี ๆ เกี่ยวกับของในบ้าน

          เมื่อนำของไม่ดีออกไป ก็ต้องมีของใหม่ที่ดีกว่าเข้ามาทดแทน ซึ่งของชิ้นนั้นนอกจากควรจะมีความสวยงามและดึงดูดใจแล้ว ควรจะเป็นสิ่งของที่นำความรู้สึกนึกคิดดี ๆ พร้อมกับรอยยิ้มเข้ามายังภายในบ้านด้วย ก็จะทำให้รู้สึกกระปรี้กระเปร่า เหมือนได้รับการเยียวยาหลังได้พักผ่อนอย่างเต็มที่ แถมยังเป็นแหล่งสร้างแรงบันดาลเมื่อเดินผ่าน

6. ถามความต้องการของตัวเองก่อน

          ลองคิดดูว่าตัวเองต้องการหรืออยากใช้ชีวิตในบ้านแบบใด โดยสร้างเป็นสโลแกนสั้น ๆ จากนั้นใช้คำที่เพิ่งคิดขึ้นมานี้เป็นคอนเซ็ปต์หลักสำหรับการตกแต่งบ้านครั้งใหญ่หรือสร้างสรรค์บ้านใหม่ พร้อมทั้งเน้นในจุดที่คุณใช้เวลามากเป็นพิเศษ เช่น ในห้องนอน หรือห้องนั่งเล่น เพื่อเตือนให้คิดถึงและโฟกัสอยู่กับสิ่งที่ตัวเองต้องการจริง ๆ อยู่เสมอ

 7. ใช้ธรรมชาติในการบำบัด

          ปกติแล้วต่างคนต่างก็ต้องการอยู่ในสภาพแวดล้อมที่สวยงามและใกล้ชิดธรรมชาติให้มากที่สุด โดยเฉพาะสิ่งที่เป็นธรรมชาติจริง ๆ ไม่ใช่ถูกสร้างโดยการเลียนแบบขึ้นมา ซึ่งถ้าหากไม่สามารถใช้วิธีการปลูกต้นไม้ได้ ก็ใช้ของตกแต่งที่มาจากธรรมชาติแท้ ๆ เข้ามาแทน เช่น จาน ชามจากไม้ บ่อปลา หรือทำน้ำพุขึ้นมาสักที่

8. เปิดหน้าต่างรับอากาศบริสุทธิ์บ่อย ๆ

          เพราะทุก ๆ วันเราต่างก็โดนทำร้ายโดยมลพิษต่าง ๆ จากทุกสารทิศรอบตัว อีกทั้งยังเป็นบ่อเกิดของโรคร้ายต่าง ๆ ฉะนั้นหากเป็นไปได้ก็ควรเปิดหน้าต่างรับอากาศและแสงจากธรรมชาติบ่อย ๆ แล้วสูดหายใจเข้าลึก ๆ ให้เต็มปอด แทนที่จะปิดประตูหน้าต่างสนิททุกบาน แล้วนั่งเก็บตัวอยู่ในบ้านที่ทั้งมืดและดูอึดอัดเพียงอย่างเดียว

 9. จำกัดเวลาในการใช้เทคโนโลยี

          เพราะจะได้มีเวลาในการทำกิจกรรมอื่น ๆ ที่สำคัญกว่า เช่น กวาดบ้าน ถูบ้าน ทำอาหาร หรือนั่งเล่นนั่งพูดคุยกับสมาชิกในครอบครัว โดยไม่มีอุปกรณ์เทคโนโลยี เช่น คอมพิวเตอร์ หรือโทรศัพท์มือถือ เข้ามาคั่นกลางระหว่างกัน นอกจากนี้แล้วการทำเช่นนี้ยังช่วยจัดสรรปันส่วนเวลาสำหรับกิจวัตรประจำวันได้ลงตัวมากขึ้นด้วย

 10. เริ่มลงมือทำ

          ต่อให้มีทิปส์หรือสุดยอดเคล็ดลับอยู่กับตัว แต่ถ้าหากไม่นำออกมาใช้ก็ไม่เกิดประโยชน์อะไร และการนำออกมาใช้นั้นก็ไม่จำเป็นต้องทำทั้งหมดในคราวเดียวแค่เริ่มปรับเริ่มเปลี่ยนวันละนิดวันละหน่อยก็พอ สักข้อสองข้อพอเริ่มคุ้นเคยแล้วก็ค่อยทำเพิ่มไปทีละอย่าง ที่สำคัญไม่จำเป็นต้องทำให้ตรงกับคำแนะนำทุกคำแต่ควรจะมีการประยุกต์บ้าง หากคิดว่าไม่เข้ากับไลฟ์สไตล์ของตัวเอง

          ต่อให้ก่อนหน้านี้บ้านของคุณจะดูวุ่นวายเพียงใด ก็สามารถทำให้กลับมาเป็นบ้านที่มีบรรยากาศสบาย ๆ เงียบ และสงบ เหมาะกับการพักผ่อนอย่างแท้จริงได้ด้วยทิปส์ง่าย ๆ เหล่านี้ แต่ข้อสำคัญเลยก็คือ หลังจากที่ทราบกันไปแล้วว่า มีทิปส์ได้บ้าง ก็อย่าลืมนำไปทำตามกันด้วยนะคะ จะได้เกิดประโยชน์กับตัวคุณมากที่สุด

https://home.kapook.com/view110907.html
เครดิตภาพ  https://www.pinterest.com/pin/795659459170892235/

Wednesday, May 20, 2020

20 เทคนิคจัดระเบียบบ้าน ให้ชีวิตง่ายขึ้นเห็น ๆ



           เทคนิคจัดระเบียบบ้านแบบง่าย ๆ เปลี่ยนบ้านรก ๆ ให้สะอาดเอี่ยม ด้วยเคล็ดลับที่จะทำให้ชีวิตง่ายขึ้นไม่ต้องเบื่อกับการจัดการบ้านอีกต่อไป

           หากใครเป็นคนบ้านรก ก็ยอมรับมาซะดี ๆ ว่าชีวิตคุณเองก็ดูยุ่งเหยิงไปด้วยใช่ไหม เพราะบ้านที่รกอัดแน่นไปด้วยข้าวของมากมาย จะทำให้เราต้องเสียเวลาค้นหา จนกระทบกับเรื่องอื่น ๆ ไปหมด วันนี้กระปุกดอทคอมจึงมี 20 เคล็ดลับดี ๆ ที่จะช่วยจัดระเบียบบ้านพร้อมจัดระเบียบชีวิตไปในตัวด้วย จากเว็บไซต์ buzzfeed ลองนำไปทำตามกันดู แล้วจะรู้ว่าชีวิตง่ายขึ้นเยอะเลยจริง ๆ นะ

1. ดาวน์โหลดคู่มืออิเล็กทรอนิกส์

           ทุกครั้งที่ซื้อเครื่องไฟฟ้าใหม่ ลองสอบถามพนักงานว่า จะสามารถดาวน์โหลดคู่มือทางออนไลน์มาเก็บไว้ได้อย่างไร วิธีนี้จะช่วยลดปริมาณคู่มือไม่ให้รกบ้าน แล้วอย่าลืมทิ้งคู่มือแบบกระดาษเมื่อเลยกำหนดเวลาเปลี่ยนสินค้าด้วย


2. ถือกฎกำจัดสิ่งของ 5 ชิ้น

           ทุกครั้งที่เก็บกวาดบ้าน ให้ตั้งกฎไว้ว่าจะกำจัดสิ่งของ 5 ชิ้นออกไป ไม่ว่าจะเป็นขยะ นิตยสารเก่า เครื่องสำอางหมดอายุ หรืออะไรก็ตามที่ไม่ได้ใช้มาเป็นเวลานาน ลองทำตามแล้วรับรองว่าบ้านจะสะอาดขึ้นเห็น ๆ


3. ใช้ตัว S แขวนกระเป๋า

           เก็บกระเป๋าด้วยวิธีแขวนด้วยตัว S ในตู้เสื้อผ้า จะช่วยให้เป็นระเบียบเรียบร้อยหยิบใช้ได้ง่าย โดยวิธีนี้ยังใช้ได้ดีกับสิ่งของไม่มีที่เก็บอื่น ๆ อย่างผ้าพันคอหรือเข็มขัดด้วย


4. ใช้ประโยชน์พื้นที่ใต้โต๊ะ

           แทนที่จะเอาพื้นที่ใต้โต๊ะไว้วางขาเพียงอย่างเดียว ลองหาตะกร้าใส่ของรก ๆ ไม่มีที่เก็บแล้ววางไว้ โดยแนะนำให้เป็นของที่ยังต้องใช้อยู่เรื่อย ๆ ส่วนของที่นาน ๆ ใช้ที ก็เก็บไว้ใต้เตียง หรือที่สูง ๆ หยิบยากไปเลยก็ได้


5. ล้างตู้เย็นให้ถูกเวลา

           วันไหนอากาศร้อนจัด ๆ ก็เปลี่ยนวิกฤตให้เป็นโอกาสด้วยการล้างตู้เย็นซะเลย เพราะอุณหภูมิสูงร้อนอบอ้าว จะช่วยละลายน้ำแข็งได้อย่างรวดเร็ว ประหยัดเวลาล้างตู้เย็นไปได้เยอะทีเดียว


6. กำจัดเสื้อผ้าแค่ไม้แขวนเสื้อ 40 อัน

           หากอยากจัดการกับเสื้อผ้าที่อัดแน่นเต็มตู้อย่างมีประสิทธิภาพ ให้ใช้วิธีที่เด็ดขาดและรวดเร็ว ด้วยการจำกัดจำนวนเสื้อผ้าให้อยู่ที่ไม้แขวนเสื้อแค่ 40 อันเท่านั้น ส่วนที่เหลือก็ให้บริจาคหรือทิ้งไปซะ และจำไว้ว่าทุกครั้งที่ซื้อเสื้อใหม่ 1 ตัว ต้องบริจาค 2 ตัว ออกจากตู้เสื้อผ้าด้วย


7. ใช้กล่องแบ่งช่องเก็บของชิ้นเล็ก

           เก็บของชิ้นเล็กอย่าง ถ่านไฟฉาย เข็มกลัด หรือกิ๊บติดผม ให้เป็นระเบียบและหยิบง่าย ด้วยการหาซื้อกล่องแบบแบ่งช่องมาใช้ โดยอาจแบ่งของออกเป็นหมวดหมู่แต่ละกล่อง หรือใส่รวมกันในกล่องใบเดียวก็ได้ วิธีนี้ดีกว่าการรวมของชิ้นเล็กไว้ในกระป๋องใบเดียวแน่นอน


8. เก็บผ้าปูที่นอนอย่างมืออาชีพ

           พับผ้าปูที่นอนเป็นสี่เหลี่ยมแล้วสอดเก็บไว้ในปลอกหมอนที่ซื้อมาเป็นเซตเดียวกัน เป็นวิธีเก็บผ้าปูที่นอนแบบฉลาด ๆ ที่ช่วยให้บ้านดูเรียบร้อยมากขึ้น


9.  เก็บจดหมายและบิลต่าง ๆ ไว้ในตำแหน่งประจำ

           หากล่องพลาสติกมาติดไว้กับข้างโต๊ะที่ใช้เป็นประจำ แล้วใส่บิลหรือจดหมายทุกครั้งที่หยิบออกมาจากตู้ให้เป็นนิสัย จะช่วยให้ไม่ลืมจ่ายบิลต่าง ๆ และอย่าลืมขอรับใบแจ้งค่าใช้จ่ายต่างผ่านทางอีเมล หากมีให้บริการ จะช่วยลดปริมาณขยะในบ้านได้อย่างมีประสิทธิภาพทีเดียว


10. เปิดอ่านจดหมายที่ถังขยะเสมอ

           ทุกครั้งที่จะเปิดอ่านจดหมายที่ได้รับมา ให้ยืนอยู่บริเวณถังขยะให้เป็นนิสัย เพราะหากอันไหนทิ้งได้ก็ให้ทิ้งลงถังขยะทันที มิฉะนั้นมันจะถูกวางอยู่ตรงไหนสักในของบ้าน จนรกไปหมดแน่นอน


11. สร้างฐานทัพสำหรับชาร์จไฟไว้ในลิ้นชัก

           สละลิ้นชักก้นลึก 1 อัน ให้เป็นที่สำหรับชาร์จอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ต่าง ๆ ซึ่งจะช่วยซ่อนทั้งอุปกรณ์ที่กำลังชาร์จและสายไฟรก ๆ ให้พ้นจากสายตา โดยลิ้นชักเหล่านี้ส่วนใหญ่จะมีช่องไว้สอดสายไฟลอดผ่านอยู่แล้ว เหมาะสมที่จะเป็นฐานทัพที่ชาร์จจริง ๆ


12. เก็บบัตรสมาชิกและส่วนลดด้วยพวงกุญแจ

           บัตรส่วนลดหรือสะสมแต้มที่มีมากมาย หากเก็บไว้ในกระเป๋าสตางค์ทั้งหมดคงบวมแน่ ๆ ถ้าอย่างนั้นให้เจาะรูการ์ดทุกใบด้วยตาไก่ แล้วร้อยไว้กับห่วงพวงกุญแจ พกใส่กระเป๋าทั้งพวง เวลาจะใช้รับรองว่าหาง่ายหยิบสะดวกแน่นอน ส่วนร้านไหนที่ให้สมาชิกบอกเบอร์โทรศัพท์ได้ ก็แยกการ์ดไปเก็บรวมกันไว้อีกพวงทิ้งไว้ที่บ้าน จะได้ไม่ต้องพกให้หนักกระเป๋า


13. กำจัดหนังสือเก่า

           อย่าเพิ่งโอดครวญไม่อยากสละหนังสือเล่มไหนเลย เพราะหากไม่กำจัดออกไปบ้างหนังสือคงสุมจนรกบ้านแน่ ๆ ดังนั้นให้แยกหนังสือออกเป็นประเภท แล้วบริจาคหรือขายออกไป ส่วนพวกสูตรอาหารต่าง ๆ ก็อาจฉีกเก็บไว้รวมกันในแฟ้ม แล้วครั้งหน้าที่ซื้อหนังสืออย่าลืมคิดให้นาน ๆ โดยหากเป็นนิตยสารแนะนำให้เช่าจากร้านเช่าหนังสือใกล้บ้าน ส่วนพ็อกเกตบุ๊กก็ซื้อแบบ E-book จะดีกว่า จะได้ไม่ต้องกังวลเรื่องที่เก็บ


14. เลือกใช้ที่แขวนผ้าขนหนูแบบตะขอ

           เพราะที่แขวนผ้าขนหนูแบบราวแขวนใช้ยาก หากพาดไว้ไม่ดีผ้าขนหนูอาจหล่นมากองที่พื้นได้ ดังนั้นให้เลือกใช้ที่แขวนแบบตะขอจะดีกว่า เพราะแขวนได้ง่ายกว่าและยังประหยัดพื้นที่มากกว่า โดยอย่าลืมติดตั้งในตำแหน่งต่ำสำหรับเจ้าตัวน้อยด้วย จะได้เป็นการฝึกนิสัยให้ช่วยเหลือตัวเองได้


15. ใช้แอพพลิเคชั่นสแกนเอกสารให้เป็นประโยชน์

           ประหยัดพื้นที่วางเครื่องสแกน ด้วยการโหลดแอพพลิเคชั่นสำหรับสแกนเอกสารด้วยมือถือมาใช้ โดยวิธีการสแกนก็แสนง่ายแค่ถ่ายรูปแล้วจัดกรอบเอกสารนิดหน่อย ก็ได้เอกสารคุณภาพไม่ด้อยไปกว่าเครื่องสแกนเลย ประหยัดทั้งเงินและพื้นที่ในการตั้งเครื่องสแกนไปในตัว


16. มีจานเท่ากับจำนวนสมาชิกในบ้านคูณสาม

           หากมีจานจำนวนมากเกินไป นอกจากจะเจอปัญหาที่เก็บไม่พอแล้ว คนในบ้านอาจละเลยการล้างจาน เพราะยังมีใบอื่นให้ใช้อยู่ ดังนั้นให้มีจานเท่ากับจำนวนสมาชิกในบ้านคูณสาม รับรองว่านี่คือสูตรคำนวณที่เพียงพอในกรณีที่มีแขกมาเยือนแล้วด้วย


17. วางเสื้อผ้าพับแบบตั้งแทนแบบนอน

           เสื้อผ้าที่เก็บด้วยวิธีพับ เช่น เสื้อผ้าใส่อยู่บ้าน ชุดนอน หรือเสื้อผ้าที่อาจเสียทรงจากการแขวน ให้พับแล้วเรียงแบบตั้งในตู้หรือตะกร้า วิธีนี้จะช่วยให้เสื้อที่พับไม่ถูกรื้อจนยุ่งเหยิงเวลาจะใช้ แถมยังประหยัดเนื้อที่จัดเก็บได้อีกทางด้วย


18. มีของประเภทเดียวกันให้น้อยที่สุด

           นี่คือความลับของคนบ้านเนี้ยบ เพราะการมีของประเภทเดียวกันให้น้อยที่สุด หรือไม่ก็เพียงชิ้นเดียวไปเลย ไม่ว่าจะเป็นกรรไกร ปากกา ครีมทาตัว หรือแม้กระทั่งกางเกงขาสั้นสีเดียวกัน จะเป็นวิธีที่ช่วยให้บ้านไม่รก แถมยังใช้ของชิ้นนั้น ๆ ได้อย่างคุ้มค่าอีกด้วย ดังนั้นพยายามกำจัดของอย่างเดียวกันที่ซ้ำออกไปเสีย แล้ววางของที่มีชิ้นเดียวอย่างเป็นที่เป็นทางแทน รับรองว่าบ้านจะเรียบร้อย แถมประหยัดเงินจากการซื้อของที่มีอยู่แล้วด้วย
 

19. เขียนวันหมดอายุให้ชัดเจน

           หาปากกาเคมีมาเขียนวันหมดอายุ ไว้บนภาชนะบรรจุอาหารและเครื่องสำอางตัวโต ๆ เพราะที่บริษัทผลิตระบุมามักตัวเล็กและอยู่ในตำแหน่งที่เห็นยาก การเขียนกำกับวันหมดอายุไว้ จะช่วยให้เราใช้วัตถุดิบได้ทันเวลาและทิ้งได้ทันที่หมดอายุ ทำให้บ้านไม่รกแถมยังดีต่อสุขภาพด้วย


20. แบ่งปันไลฟ์สไตล์ให้เป็นของขวัญ

           ของในบ้านมากมายทั้งที่ซื้อมาหรือได้ฟรี อาจใช้ไม่หมดถ้าเราไม่รู้จักแบ่งปันคนอื่น แสดงน้ำใจพร้อม ๆ กับเป็นการจัดระเบียบบ้านไปในตัว ด้วยการมอบของเหล่านั้นให้กับผู้อื่นเป็นของขวัญ เช่น มอบไวน์ให้กับเพื่อนนักดื่ม มอบคูปองเติมน้ำมันให้น้องสาว วิธีนี้เป็นการมอบมิตรไมตรีที่ผู้อื่นอาจเรียนรู้และทำตามเช่นกัน


           ลองนำไปทำตามกันดูนะคะ แล้วชีวิตจะเป็นระเบียบขึ้นจริง ๆ เพราะถ้าไม่ต้องเสียเวลาค้นหาข้าวของที่มีมากมายจนรกไปหมด แล้วพยายามทิ้งของไม่ใช้อยู่เสมอ และอย่าซื้อของมาเพิ่มโดยไม่จำเป็นด้วย เพียงเท่านี้บ้านก็จะเป็นระเบียบน่าอยู่สุด ๆ แล้วค่ะ

ขอขอบคุณข้อมูลจาก buzzfeed

https://home.kapook.com/view110479.html
เครดิตภาพ https://www.pinterest.com/pin/717479784409300094/