Sunday, June 7, 2020

5 จุดเสี่ยงในบ้านที่งูมักจะเข้าไปซ่อน ระวังไว้ก่อนโดนเหล่าอสรพิษทำร้าย



        ตรงนี้แหละงูชอบ ! 5 จุดเสี่ยงที่มักจะเจองูในบ้าน รู้แล้วระวังตัวไว้ จะได้หาวิธีป้องกันถูก

        งู  ถือเป็นสัตว์เลื้อยคลานที่อันตรายถึงชีวิต คงไม่มีใครอยากเผชิญหน้ากับพวกมัน แต่บางครั้งก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ เมื่อเหล่าอสรพิษเลื้อยเข้ามาอยู่ในบ้านของเราเอง เห็นได้จากข่าวคราวที่ขึ้นมาบนหน้าฟีดบ่อย ๆ ซึ่งสาเหตุที่งูชอบเข้ามาอยู่ในบ้านคนก็เพราะบ้านเป็นทั้งแหล่งอาหารชั้นดีและแหล่งกบดานที่ปลอดภัย สภาพแวดล้อมเหมาะจะเป็นที่ซ่อนตัวและวางไข่ แถมยังไม่ค่อยมีศัตรูมาก่อกวน โดยเฉพาะ 5 จุดในบ้านเหล่านี้ ที่เราอยากเตือนให้ระมัดระวังกันไว้ โดยเฉพาะในช่วงหน้าฝนนี้

1. รอยแตกหรือรอยร้าวบนผนัง และร่องใต้ประตู

          รอยแตก รอยร้าว หรือร่องใต้ประตู ถือเป็นช่องว่างที่เปิดให้งูเข้ามาในบ้านของเราได้ง่ายที่สุด ฉะนั้นถ้าหากใครไม่อยากให้งูเข้ามาหาอาหารหรือวางไข่ในบ้านละก็ ให้รีบอุดรอยร้าวเหล่านั้นไว้เลย รวมถึงอย่าลืมมองหาที่กั้นประตูมาครอบปิดขอบด้านล่างเอาไว้ด้วย เพราะนอกจากจะช่วยป้องกันงูแล้ว ยังช่วยป้องกันจิ้งจก แมลงสาบ และช่วยไม่ให้แอร์กระจายออกนอกบ้านอีกต่างหาก



2. บนเพดาน

          เหตุผลที่งูมักจะเลื้อยขึ้นไปอยู่บนฝ้า บนเพดาน หรือบนห้องใต้หลังคาก็เป็นเพราะว่าพวกมันตามกลิ่นหนู ซึ่งเป็นอาหารโปรดของมันนั่นเอง ดังนั้นถ้าหากไม่อยากให้งูเข้ามาอยู่ในบ้านละก็ อันดับแรกเลยก็คือหาทางไล่หนูเหล่านั้นออกไป เพื่อกำจัดแหล่งอาหารของงู ต่อมาทำการอุดช่องว่างช่องโหว่อย่าให้มีรูที่งูสามารถเลื้อยเข้าไปได้ เพราะถึงแม้จะไม่มีอาหารแต่ก็มีโอกาสที่งูอาจจะขึ้นไปทำรังเพื่อวางไข่ก็เป็นได้

          วิธีไล่หนูออกจากบ้าน โดยไม่ต้องฆ่า

3. ห้องน้ำ

          ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่าห้องน้ำเป็นบริเวณที่เจองูบ่อยที่สุดในบ้าน โดยเฉพาะตรงชักโครก อื้อหือ...ไม่อยากจะคิดเลยว่าถ้ากำลังทำธุระส่วนตัว แล้วอยู่ดี ๆ งูโผล่ขึ้นมาจะทำยังไง เพราะฉะนั้นป้องกันไว้ตั้งแต่เนิ่น ๆ โดยคอยสังเกตระบบการไหลเวียนของน้ำว่าปกติไหม ระบายน้ำช้าหรือเปล่า ท่อมีกลิ่นไหม ที่สำคัญต้องหมั่นสำรวจ ตรวจเช็ก และระมัดระวังก่อนใช้ห้องน้ำทุกครั้ง รวมถึงถ้าในห้องน้ำมีถังเกรอะหรือถังบำบัดน้ำเสียก็ต้องคอยปิดฝาให้แน่นสนิทด้วย

4. กระถางต้นไม้

          บริเวณนี้คนรักการปลูกต้นไม้ควรระวังเป็นพิเศษ เพราะกระถางต้นไม้ก็เป็นอีกจุดที่มักจะเจองูอยู่บ่อย ๆ เนื่องจากเป็นแหล่งที่มีทั้งดิน ทั้งพืช ซึ่งเป็นของโปรดของงู อีกทั้งความเย็นจากการรดน้ำก็ยังเป็นที่ชื่นชอบของมันอีกต่างหาก เอาเป็นว่างานนี้ใครที่คิดจะปลูกต้นไม้ในบ้าน หรือย้ายต้นไม้เข้าบ้านก็ต้องระวังเอาไว้สักนิด หมั่นตรวจเช็กใต้ดิน ใต้กระถางให้ละเอียด เท่านี้ก็ช่วยได้แล้วค่ะ

5. ในสวน

          ไม่ว่าจะสวนหน้าบ้าน สวนข้างบ้าน หรือสวนหลังบ้าน ก็ถือเป็นแหล่งอาหารและแหล่งพักพิงชั้นดีของงู โดยเฉพาะอย่างยิ่งสวนที่รก หญ้าสูง และไม่ได้ดูแล ดังนั้นจึงเป็นเรื่องสำคัญมากที่เราต้องคอยตัดหญ้า เก็บกวาด และจัดสวนให้สวยงามเป็นระเบียบอยู่เสมอ จะได้ช่วยป้องกันและทำให้มองเห็นงูได้ชัด ไม่เผลอเข้าใกล้จนเกิดอันตราย ส่วนวิธีป้องกันงูเลื้อยเข้ามาอยู่ในสวนก็ทำได้ง่าย ๆ โดยกับดักมาล่อ โรยทรายแมวให้ทั่ว หรือปลูกต้นไม้กันงู แต่ถ้าหากเจองูอยู่ในสวนแล้วละก็ ไม่ควรฆ่าเอง แต่รีบเรียกผู้เชี่ยวชาญมาช่วยจับออกไปดีกว่า

          5 ต้นไม้กันงูควรปลูกไว้ในสวน ช่วยป้องกันงูเข้าบ้านได้ !

          หากจะตัดไฟตั้งแต่ต้นลม ก่อนเข้าหน้าฝนเต็มตัว สามารถป้องกัน งูเข้าบ้านได้ง่าย ๆ โดยกำจัด "หนู" ที่เป็นอาหารอันโอชะของงู และหมั่นเก็บกวาดทำความสะอาดทั้งภายในและภายนอกบ้านให้เป็นระเบียบ เพื่อลดแหล่งที่อยู่ หรือเลี้ยงสัตว์ที่เป็นศัตรูกับงู เช่น สุนัขหรือแมว เอาไว้ที่บ้าน เพียงเท่านี้ก็ช่วยป้องกันงูเข้าบ้านได้แล้วค่ะ

ขอขอบคุณข้อมูลจาก สถานีดับเพลิงสามเสน, familyhandyman, wildliferemovalusa, crittercontrol, huffpost และ hunker

Friday, June 5, 2020

วิธีแก้ปัญหาน้ำรั่วบนเพดาน ป้องกันเชื้อราช่วงหน้าฝน



          วิธีแก้ปัญหาน้ำรั่วบนเพดาน หน้าฝนทุกปีต้องมีผวาและต้องคอยลุ้นว่าน้ำฝนจะรั่วมาจากตรงไหนบ้าง เอาเป็นว่าถ้าอยากนอนสบาย ๆ เรามาลงมือซ่อมเพดานกันเถอะ ก่อนที่น้ำจะท่วมทั้งในและนอกบ้าน

           ใครล่ะจะไม่ชอบอยู่บ้านอากาศเย็น ๆ สบาย ๆ ตอนฝนตก แต่เจ้าน้ำที่หยดติ๋ง ๆ ลงมาจากรูรั่วบนเพดานนี่สิ ที่ทำให้หลายคนอารมณ์เสียจนแทบไม่อยากให้ถึงหน้าฝนเลยจริง ๆ เพราะนอกจากจะต้องวิ่งวุ่นหากระบะมารองน้ำ ไหนจะต้องเอาผ้ามาเช็ดแอ่งน้ำย่อม ๆ กลางบ้านแล้วเนี่ย ก็ต้องมาลุ้นต่ออีกว่าจะเกิดจุดด่างดำของเชื้อราบนฝ้าเพดานหรือเปล่า หากไม่อยากให้ปัญหาเกิดซ้ำแล้วซ้ำอีก รีบลงมือซ่อมรอยรั่วเหล่านั้นกันเถอะพวกเรา ! 

1. รีบย้ายสิ่งของโดยพลัน

          เคลื่อนย้ายสิ่งของออกจากบริเวณที่มีน้ำหยด เพื่อป้องกันการเกิดความเสียหาย หากเป็นของหนักไม่สะดวกต่อการเคลื่อนย้าย เช่น โซฟา ตู้เก็บของ หรือชั้นวางของ ให้คลุมทับด้วยพลาสติกผืนใหญ่เอาไว้ ก่อนที่ความชื้นจะพาเชื้อราเข้ามา และทำให้เฟอร์นิเจอร์สวย ๆ ของคุณผุพัง

2. ออกสำรวจรูเจ้าปัญหา

          หลังจากนั้นก็มองหารอยรั่ว โดยสังเกตจากจุดแสงเล็ก ๆ บนพื้นตอนแดดออก ซึ่งวิธีนี้จะทำให้คุณรู้ตำแหน่งที่ชัดเจนมากกว่าดูจากตำแหน่งน้ำหยด เพราะจุดที่น้ำฝนหยดลงมา อาจเป็นน้ำที่แทรกซึมมาตามรอยแตกบนผนังก็ได้

3. เช็กรอยรั่วภายใน

          ที่จำเป็นจะต้องควรตรวจสอบรอยรั่วในบ้านซ้ำอีกครั้ง ก็เพื่อเช็กให้มั่นใจว่ารอยน้ำเหล่านั้นไม่ได้เกิดจากการอาบน้ำ ล้างมือ หรือทำธุระส่วนตัวอื่น ๆ รวมไปถึงรอยรั่วบนท่อประปาภายในบ้าน และจะได้แก้ปัญหาให้ถูกจุดยังไงล่ะ  

4. โทรเรียกช่าง

          หากเจอปัญหาหลังการตรวจสอบ ควรจะโทรศัพท์เรียกช่างสักนิด ให้เข้ามาแก้ไขและอธิบายว่าพวกเขาต้องทำอะไรบ้าง ซึ่งบางครั้งก็อาจจำเป็นจะต้องถอดหลังคาบางส่วนออก เพื่อหาต้นตอของรอยรั่วด้วย

5. ลงมือซ่อมทันที

          หากตอนนี้รู้แล้วว่ารอยรั่วอยู่ตรงไหน ควรจะลงมือซ่อมแซมทันที อย่าปล่อยปัญหาไว้นานไม่อย่างนั้นรอยรั่วเล็ก ๆ อาจเกิดปัญหาใหญ่ เช่น กลายเป็นแหล่งสะสมของเชื้อโรค เชื้อรา หรือเหล่าสัตว์น้อยใหญ่ที่ชอบอาศัยอยู่ตามมุมชื้นแฉะ

6. เปลี่ยนรางน้ำ

          แต่หากเป็นเพราะรางน้ำตะเข้ผุกร่อน ควรเปลี่ยนรางน้ำใหม่ที่มีปีกกว้างและลึกมากกว่าเดิม เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการรองรับน้ำ ถ้าเกิดจากแผ่นกระเบื้องให้อุดรอยรั่วเหล่านั้นด้วยวัสดุยาแนวที่มีความยืดหยุ่นสูง หรือกาวซีเมนต์ แต่ถ้าหากรอยร้าวค่อนข้างมากควรเปลี่ยนแผ่นใหม่ทันที สำหรับในส่วนของอุปกรณ์ยึดหลังคา อย่างเช่น ตะปู ตะขอ หรือแหวนยางสามารถแก้ปัญหาได้ โดยการนำซิลิโคนอุดรอยรั่วเอาไว้ แต่หากน้ำฝนรั่วบริเวณปูนปั้นให้ปิดรอยแตกด้วยแผ่นปิดรอยต่อที่มีส่วนผสมของยางมะตอยเสริมใยเหล็ก และกาวปิด คราวนี้ปัญหาที่เคยกวนใจก็หายไปแล้วล่ะ

           เรื่องเพดานรั่วคงเป็นปัญหากวนใจใครหลายคนมานาน โดยเฉพาะช่วงหน้าฝนแบบนี้ เพราะแทนที่จะได้นอนพักผ่อนอย่างสบายใจ กลับต้องคอยระวังเรื่องน้ำรั่ว ดีไม่ดีอาจจะทำให้บ้านและของใช้เสียหายอีกด้วย รู้แบบนี้รีบลงมือซ่อมแซมตั้งแต่ตอนนี้เลยดีกว่า เพราะไม่เพียงแต่จะนอนหลับโดยไม่ต้องกังวลแล้ว ยังไม่ต้องรับภาระค่าใช้จ่ายที่ต้องนำไปใช้ซ่อมแซมบ้านอีกด้วยนะคะ

ขอขอบคุณข้อมูลจาก ehow.com
https://home.kapook.com/view123173.html
เครดิตภาพ  https://www.pinterest.com/pin/140806231655786/

Wednesday, June 3, 2020

8 วิธีทำความสะอาดแก้ปัญหาพื้นลื่น ลดโอกาสเสี่ยงตายจากการเดินลื่นล้มในบ้าน


          วิธีทำความสะอาดพื้น แก้ปัญหาพื้นลื่นด้วยวิธีง่าย ๆ เพื่อลดการเกิดอุบัติเหตุในบ้าน โดยเฉพาะเด็กและผู้สูงอายุ ป้องกันการเดินลื่นล้มในบ้าน


          เชื่อไหมคะว่าการลื่น ตก หกล้ม เป็นอุบัติเหตุที่คร่าชีวิตผู้คนเป็นอันดับสองรองจากอุบัติเหตุทางถนนเลยทีเดียว โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับผู้สูงอายุที่ร่างกายไม่ค่อยแข็งแรง แถมมีการทรงตัวที่ไม่ค่อยดี จึงทำให้เสี่ยงประสบอุบัติเหตุลื่นล้ม บาดเจ็บได้ง่าย โดยเฉพาะพื้นลื่นในบ้าน ฉะนั้นเพื่อช่วยลดการเกิดอุบัติเหตุและป้องกันการลื่นล้ม วันนี้กระปุกดอทคอมจึงได้รวบรวมวิธีป้องกันและแก้ปัญหาพื้นลื่นมาฝากค่ะ


1. หมั่นทำความสะอาด

          คราบสกปรกหรือคราบน้ำ เช่น น้ำเปล่า น้ำมัน น้ำฝน เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้พื้นลื่น ฉะนั้นเราจึงต้องหมั่นทำความสะอาดให้ถูกต้อง โดยควรเลือกใช้อุปกรณ์และวิธีการให้เหมาะสมกับสภาพพื้นผิว และควรถูและกำจัดคราบสกปรกออกจากพื้นให้หมดเกลี้ยง อย่าให้มีสารจากน้ำยาทำความสะอาดตกค้าง และทำให้พื้นแห้งสนิททุกครั้งหลังจากถูเสร็จด้วย   

2. กำจัดสิ่งกีดขวางออกให้หมด

          เพียงแค่เราจัดเก็บสิ่งของต่าง ๆ ให้เป็นระเบียบและเข้าที่เข้าทาง ไม่ปล่อยให้มีสิ่งของชิ้นเล็กชิ้นน้อยมาเกะกะและกีดขวางทางเดิน รวมถึงหมั่นกำจัดเศษขยะต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น เปลือกผลไม้ เศษถุงพลาสติก หรือเศษใบไม้ ออกจากพื้น เท่านี้ก็จะช่วยลดความเสี่ยงในการลื่นและหกล้มได้ง่าย ๆ แล้ว อ้อ แล้วพวกสายไฟต่าง ๆ ก็ควรจะต้องยึดติดไว้กับพื้นหรือซ่อนไว้ใต้พรมเพื่อช่วยป้องกันการเดินสะดุดด้วยนะคะ   

3. มีราวจับสำหรับทางลาดชัน

          สิ่งสำคัญอีกหนึ่งอย่างที่ช่วยป้องกันปัญหาการลื่นล้มได้ก็คือ ราวเกาะหรือราวจับ ไม่ว่าจะเป็นในห้องน้ำ ห้องนอน หรือทางลาดชัน เราก็ควรติดตั้งราวจับเอาไว้ทั้งหมด เพราะว่าราวจับสามารถช่วยประคองการเดินและลดความเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุลงได้ แล้วยิ่งถ้าบ้านในมีผู้สูงอายุ ผู้ป่วย หรือเด็กเล็กอยู่ด้วยละก็ ยิ่งไม่ควรพลาดติดตั้งราวจับไว้ในพื้นที่สำคัญต่าง ๆ เด็ดขาด 

4. ติดตั้งแสงสว่างให้เพียงพอ

          ถึงแม้บางคนจะชอบไฟมืด ๆ สลัว ๆ แต่ต้องบอกเลยว่าถ้าอยากให้คนในครอบครัวปลอดภัยจากอุบัติเหตุแล้วละก็ ต้องเปลี่ยนมาใช้หลอดไฟที่ให้แสงสว่างได้อย่างเพียงพอ เพื่อช่วยเพิ่มการมองเห็นบริเวณพื้นลื่น พื้นเปียก พื้นมีน้ำขัง รวมถึงสิ่งกีดขวางต่าง ๆ ได้อย่างชัดเจน จะได้ลดการเกิดอุบัติเหตุลงได้ง่ายๆ นั่นเอง

5. ใช้วัสดุกันลื่น

          ปัจจุบันนี้มีนวัตกรรมมากมายที่ช่วยให้ชีวิตของเราสะดวกสบายและง่ายขึ้น ซึ่งสำหรับคนที่อยากแก้ปัญหาพื้นลื่นแบบไม่ยุ่งยาก ก็เพียงแค่ไปหาใช้วัสดุกันลื่นสำหรับพื้น เท่านี้ก็สบายหายห่วงเรื่องอุบัติเหตุลื่นล้มได้ง่าย ๆ แล้ว ไม่ว่าจะเป็นน้ำยาเคลือบพื้นกันลื่น การปูพรมกันลื่น การติดตั้งแผ่นกันลื่น รวมทั้งกระเบื้องผิวหยาบ เป็นต้น

6. หมั่นเช็กสภาพพื้นอยู่เสมอ

          เพื่อป้องกันไม่ให้ปัญหาพื้นลื่นหรืออุบัติเหตุต่าง ๆ เกิดขึ้น เราต้องหมั่นเช็กและดูแลรักษาสภาพพื้นให้ดีอยู่เสมอ โดยสิ่งสำคัญคือการตรวจสอบและบำรุงไม่ให้มีรู รอยแตก รอยแยก หรือรอยร้าว เพื่อช่วยไม่ให้มีสิ่งสกปรก ฝุ่น หรือน้ำเข้าไปอุดตัน รวมถึงยังต้องคอยเช็กว่าพื้นผิวยังมีประสิทธิภาพที่ดีอยู่ไหม เพื่อป้องกันปัญหาการลื่นล้ม และทางที่ดีควรหันมาใช้พื้นผิวที่หยาบหรือกันลื่นแทนพื้นผิวขัดมัน เพื่อช่วยให้สามารถยึดเกาะได้ดีมากยิ่งขึ้นด้วย

7. ติดพรมกับพื้นให้แน่น

          สำหรับบ้านที่ปูพรม ปูเสื่อ หรือปูเสื่อน้ำมัน เพื่อช่วยแก้ปัญหาพื้นลื่น อย่าลืมดึงวัสดุต่าง ๆ ให้ตึง หรือติดเทปไว้ด้านล่างกับพื้นให้แน่นสนิท เพื่อป้องกันการขยับเขยือนหรือเลื่อนไหลขณะที่เราเดินผ่านจนทำให้ลื่นล้มได้นั่นเอง

8. สวมรองเท้าเดิน

          การเลือกใช้รองเท้าให้มีประสิทธิภาพและเหมาะสมกับพื้นผิว ถือเป็นอีกหนึ่งวิธีที่ช่วยแก้ปัญหาพื้นลื่นและลดอุบัติเหตุลื่นล้มลงได้ง่าย ๆ โดยถ้าหากบ้านใครที่พื้นค่อนข้างลื่น มีน้ำขัง หรือมีฝนตกบ่อย ๆ ก็ควรหันมาเลือกใช้รองเท้าที่มีดอกยางและมีประสิทธิภาพสูง เพื่อช่วยป้องกันอุบัติเหตุนั่นเอง อ้อ แล้วอย่าลืมก้าวเดินอย่างระมัดระวังหรือค่อย ๆ เดินช้า ๆ เมื่อรู้ว่าพื้นเปียกหรือพื้นลื่นด้วยนะคะ

          เห็นไหมคะว่าปัญหาพื้นลื่นเป็นอันตรายร้ายที่อยู่ใกล้ตัวเรามาก ๆ ทว่าเราก็สามารถลดและป้องกันพื้นลื่นได้ง่าย ๆ ฉะนั้นถ้าหากใครไม่อยากให้คนที่รักเกิดอุบัติเหตุลื่นล้มละก็ ต้องคอยหมั่นดูแล แก้ปัญหา และป้องกันพื้นลื่นเอาไว้อย่างสม่ำเสมอ เท่านี้ก็จะช่วยให้คุณและคนในครอบครัวปลอดภัยจากอุบัติเหตุได้ไม่ยากแล้วค่ะ

ขอขอบคุณข้อมูลจาก interstaterestoration, ccohs, worksafe.qld.gov.auโรงพยาบาลเปาโลกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน และ dcctoyou