Friday, September 25, 2015

ยิ่งกิน ยิ่งผอม



       ขัดใจจริงๆ เลยค่ะ เวลาเจอคู่มือเรียกความผอมสำหรับสาวกลัวอ้วน ไม่ว่าจะอยู่ในหนังสือเล่มไหน ก็เอาแต่บอกให้เราจำกัดปริมาณอาหาร ด้วยการนับปริมาณแคลอรีของอาหารที่เราทานเข้าไป แล้วเอาไปหักลบกลบหนี้กับปริมาณแคลอรีที่ใช้ไปในกิจกรรมต่างๆ อย่างกับเรามีเครื่องวัดแคลอรีแบบพกพายังไงยังงั้น แล้วอีกอย่างใครจะจำได้ว่าวันนี้เรากินอะไรไปบ้าง (อุ๊บส์) 

        เพราะในชีวิตจริง การกะปริมาณแคลอรีถือเป็นเรื่องที่ยากเอาการทีเดียว WP จึงสรรหาวิธีง่ายๆ ในการเลือกรับประทานอาหาร จะได้ไม่ต้องนั่งนับปริมาณแคลอรีให้ปวดหัวอีกต่อไปก่อนเข้าโปรแกรม ศักดิ์สิทธิ์นี้ เราอยากให้คุณชั่งน้ำหนักไว้ก่อนในตอนเช้า แล้วหลังจากนี้ 2 สัปดาห์ลองกลับมาชั่งอีกครั้ง รับรองว่าจะพบกับความเปลี่ยนแปลง แต่มีข้อแม้ว่าคุณต้องปฏิบัติตามคำแนะนำของเราราวกับเป็นกฎเหล็กเลยนะคะ

        1. กะปริมาณอาหารให้น้อยลงมื้อละ 20% ของ ที่เคยทาน เช่น ปกติทานข้าว 1 จาน ให้ลดลง 1 ใน 4 ทำเช่นนี้ทุกมื้อ อย่าไปคิดว่าคุณกำลังอดอาหาร เพราะการคิดแบบนี้จะทำให้มื้อต่อไปคุณรู้สึกหิวกว่าปกติ แต่แค่เตือนตัวเองไม่ให้กินซะจนอิ่มแปล้เท่านั้น

        2. เลิกคิดถึงปริมาณแคลอรีของอาหารทุกชนิดที่คุณทาน ไม่ต้องห่วงว่าอาหารที่ทานเข้าไปจะมีปริมาณกี่แคลอรี ให้นึกไว้เสมอว่าการทานอาหารเป็นกิจกรรมที่มีความสุข หากคุณต้องทานอาหารด้วยความเครียด จะทำให้ขาดสติในการควบคุม และสุดท้ายจะหมดความอดทนในการควบคุมอาหารไปซะงั้น

        3. อาหารบางอย่าง เช่น ของหวานจำพวกไอศกรีม ขนมขบเคี้ยว ข้อดีของขนมหวานๆ พวกนี้คือ ยิ่งกินยิ่งอร่อย ยิ่งเคี้ยวยิ่งเพลิน ทานเท่าไหร่ก็ไม่อิ่ม แต่ข้อเสียคือ แค่กินไปนิดเดียว แต่ปริมาณแคลอรีทะลักสุดๆ แล้วรสชาติหวานหอมของมันก็จะทำให้เราปลอบใจตัวเองว่า กินไปนิดเดียวไม่อ้วนเท่าไหร่หรอก

        4. ดื่มน้ำเปล่า 1-2 แก้วก่อนมื้ออาหาร หรือในระหว่างมื้อเมื่อรู้สึกหิว

          5. ในอาหารแต่ละมื้อให้ทานผักสด หรือผลไม้มากๆ เข้าไว้ มากกว่าครึ่งหนึ่งของมื้ออาหารยิ่งดี และถ้าคุณเป็นคนที่ไม่ถนัดเรื่องการทานผักสด ให้ทานกับน้ำสลัดแล้วค่อยๆ ลดปริมาณน้ำสลัดลงจนคุ้นเคยกับรสชาติของผักสด หรือแรกๆ อาจทานผักลวกหรือผักนึ่งก็ได้และก่อนที่จะลงมือ ควรทานผักก่อนอาหารอย่างอื่นนะจ๊ะ

        6. หากมีอาหารมากมายวางอยู่ตรงหน้าให้คุณเลือกรับประทาน (อย่างเช่นในมื้อบุฟเฟ่ต์) ให้ฝึกจนเป็นนิสัยว่า ควรเลือกอาหารจำพวกต้มหรือนึ่ง มากกว่าอาหารจำพวกผัดหรือทอด

        7. ของหวาน ทานได้แต่แค่พอให้รู้สึกถึงรสชาติ เพราะถ้าคุณอดของหวานอาจมีข้ออ้างในใจได้ว่า ทำให้ฉันไม่สดชื่นเพราะร่างกายขาดน้ำตาล ทั้งที่จริงแล้วนี่เป็นเพียงข้ออ้างในใจ จึงแนะนำให้ทานขนมหวานได้พอรู้รสเท่านั้น

        8. เครื่องดื่มประจำตัวของคุณต้องเป็นน้ำเปล่าเท่านั้น เพราะไม่มีน้ำตาล แถมยังช่วยให้การเผาผลาญพลังงานระดับเซลล์ทำงานได้ดีขึ้น

        9. หยุดทันทีที่อิ่ม จงอย่าเสียดายของเป็นอันขาด ถ้าคุณยังอยากทานต่อ ให้นึกเทียบค่าอาหารที่เหลือกับค่ายารักษาตัวเมื่อป่วยด้วยโรคที่มากับความอ้วน อันไหนน่าเสียดายมากกว่ากัน

         10. ลองแบ่งอาหารเป็นมื้อย่อยๆ สัก 6 มื้อ ห่างกันมื้อละ 2-3 ชั่วโมงเพื่อป้องกันไม่ให้คุณหิวจนเกินควรจนฟาดเรียบในมื้อเดียว เพราะนั่นคือการทานมากเกินความจำเป็น ที่สำคัญห้ามทานจุบจิบระหว่างมื้อเด็ดขาด

         11. ออกกำลังกายอย่างน้อยครั้งละ 30 นาที อาทิตย์ละ 3 ครั้ง หรือถ้าใครสามารถกว่านั้นก็ตามสบายเลยจ้ะ เพียงแต่อย่าหักโหมจนเกินไป เพราะร่างกายอาจปรับตัวไม่ทัน


woman plus, http://health.kapook.com/view1044.html
cr. pic. https://www.pinterest.com/pin/466615211402950363/

Tuesday, September 22, 2015

ไขความเชื่อผิด ๆ เกี่ยวกับสุขภาพ



         บางเรื่องสุขภาพที่เรารู้กันมา อาจไม่ใช่เรื่องจริง หรือเป็นความเข้าใจผิดไปก็ได้ ลองมาดูสิว่า 10 เรื่องต่อไปนี้ คุณเคยเข้าใจอะไรผิดมาบ้างหรือเปล่า

1. ชาเขียวเพื่อสุขภาพ

          ความเชื่อนี้ฮิตที่สุดเมื่อหลายปีก่อน ถึงขั้นทำให้ทำอะไรก็ต้องเอาชาเขียวมาเป็นส่วนประกอบ ไม่เว้นแม้กระทั่งผ้าอนามัย ปัจจุบันก็ยังคงความฮิตต่อเนื่อง แม้ว่ากระแสจะน้อยลงก็ตาม แต่นั่นก็ทำให้คนไทยเคยชินกับการกินชาเขียวแทนการดื่มน้ำอัดลม หรือน้ำอื่น ๆ

          โดยความเชื่อนี้ คือในชาเขียวจะมี Cathechin ที่มี EGCG อันเป็นสารตัวเอกในการต้านอนุมูลอิสระ และสามารถยับยั้งการเกิดมะเร็งต่าง ๆ ได้ สาร Cathechin ที่ว่านั้นไม่ได้มีเฉพาะชาเขียวเท่านั้น ชาดำ หรือชาจีนก็มีเช่นกัน แต่อาจจะไม่มากเท่าชาเขียว และนั่นทำให้ชาเขียวกลายเป็นทุกคำตอบของสุขภาพไป

          แต่ในความเป็นจริงแล้ว ระดับความเข้มข้นของ EGCG ที่สามารถจัดการกับมะเร็งได้นั้น จะเทียบเท่าการดื่มชาเขียวแบบเข้มข้นไม่ผสมน้ำตาลวันละอย่างต่ำ 10 แก้ว ซึ่งนอกจากจะช่วยป้องกันมะเร็งได้แล้ว ของแถมที่ตามมาก็คือ เจ้าสาร Tannin ที่เป็นสาเหตุของการเกิดอาการท้องผูก และนั่นทำให้ไม่ต้องคิดต่อเลยว่า ชาเขียวที่มีน้ำตาลผสมอยู่นั้น จะสามารถช่วยดูแลสุขภาพของเราให้ยืนยาวปราศจากโรคต่าง ๆ ได้อย่างไร

2. เดินลงดีต่อเข่ามากกว่าเดินขึ้น

          เวลาที่จะให้เลือกระหว่างเดินลงบันไดกับเดินขึ้นบันได หลายคนคงจะเลือกเดินลงบันไดมากกว่า หนึ่งเพราะไม่ต้องรู้สึกเหนื่อยมาก และสองทำให้ไม่ปวดขา ปวดเข่าเวลาเดินอีกด้วย

          ความเชื่อนี้อาจจะไม่จริงแล้ว เมื่อผลงานวิจัยของมหาวิทยาลัยทั้งไทยและต่าง ประเทศเห็นตรงกันว่า การเดินลงทางลาดชันรวมไปถึงบันไดนั้น จะทำให้ความเครียดเกิดขึ้นที่ข้อ และตัวกระดูกอ่อนของเข่ามากกว่าการเดินขึ้น รวมทั้งมีโอกาสสร้างความบาดเจ็บได้มากกว่า และที่เราคิดว่าการเดินขึ้น น่าจะทำร้ายเข่ามากกว่านั้น เป็นเพราะเวลาที่เราเดินขึ้น เราจะล้าและปวดกล้ามเนื้อมากกว่าเวลาเดินลงนั่นเองครับ

3. กระดูกพรุนต้องกินแคลเซียม

          ความเชื่อนี้ส่วนหนึ่งเป็นเพราะความเชื่อที่ว่า กระดูกของร่างกายมนุษย์เรานั้นมี แคลเซียมเป็นส่วนประกอบที่สำคัญ ดังนั้นเมื่อเกิดภาวะกระดูกพรุน ก็เลยคิดว่าการกินแคลเซียมเข้าไปมาก ๆ จะช่วยทำให้กระดูกแข็งแรงได้

          แต่ในความเป็นจริงนั้น การกินแคลเซียมเสริมเข้าไปในร่างกายอย่างเดียว อาจจะไม่ใช่คำตอบของการแก้ปัญหา เพราะ การเสริมกระดูกของร่างกายมนุษย์เรานั้นมันมีกลไก และความซับซ้อนหลายอย่าง เช่น อัตราส่วนแคลเซียมต่อแมกนีเซียมที่ใช้ในการดูดซึม เพื่อให้เกิดประโยชน์มากที่สุด รวมไปถึงการใช้วิตามินดีให้พอเพียงกับปริมาณแคลเซียมที่ได้รับเพิ่มมา เพราะหากมีวิตามินดีไม่มากพอ ร่างกายก็ไม่อาจดูดซึมแคลเซียมที่ได้รับเพิ่มไปใช้ได้อยู่ดี

          ดังนั้นการกินแคลเซียมเสริมเข้าไปในร่างกายนั้น ไม่ใช่คำตอบสุดท้ายของการแก้ไขโรคกระดูกพรุนอย่างแน่นอน แต่การออกกำลังกายอย่างเป็นประจำ และต่อเนื่อง มีโอกาสทำให้ร่างกายได้รับความเสี่ยงต่อโรคกระดูกพรุนน้อยลง และหากสงสัยว่า มีอาการเริ่มต้นของภาวะกระดูกพรุน ควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านกระดูกจะดีกว่า

4. ซาวน่า ยิ่งอบนานยิ่งสุขภาพดี

          ความเชื่อนี้ส่วนหนึ่งน่าจะเป็นเพราะทุกครั้งที่เราออกจากห้องซาวน่าแล้ว น้ำหนักจะลดลงไปหลายขีด แล้วก็จะรู้สึกสบายตัวเป็นอย่างมาก เลยกลายเป็นความเชื่อที่ว่ายิ่งนานยิ่งดี แต่ในความเป็นจริงแล้ว มีคนเคยเกือบเสียชีวิตเพราะนั่งในห้องซาวน่านานจนเป็นลมไปเลยก็มี ดังนั้นความเชื่อนี้เห็นทีจะไม่ถูกต้อง

          การอบซาวน่าหรืออบสมุนไพรที่จะให้ได้ประโยชน์จริงนั้น ชาวฟินแลนด์ต้นตำรับเขาระบุไว้ว่า ต้องเป็นการอบร้อนสลับเย็น โดยอบร้อนเป็นเวลาประมาณ 3-5 นาที จากนั้นก็ลุกออกไปแช่น้ำเย็นประมาณ 1-2 นาที โดยทำสลับกัน 3 รอบ การทำแบบนี้จะส่งผลให้ร่างกายได้รับการกระตุ้นให้เลือดไหลเวียนได้ดี เลือดลมเดินสะดวก และรู้สึกโปร่ง โล่ง สบาย

5. น้ำตาล ของหวาน ช่วยให้สดชื่น

          เวลาที่เรารู้สึกเหนื่อย กระหาย อ่อนเพลียนั้น การดื่มน้ำหวาน หรือกินของหวาน ๆ เข้าไปจะทำให้รู้สึกกระชุ่มกระชวยขึ้นได้ ความคิดแบบนี้มีหลาย ๆ คนที่เชื่อเช่นนั้น และให้ความหวานเป็นทางออกของชีวิตเสมอ ๆ

          แต่ในความเป็นจริงแล้ว การกินของหวานหรือดื่มน้ำหวาน นอกจากจะไม่ช่วยให้หายจากอาการอ่อนเพลีย ไม่มีแรงแล้ว ยังจะทำให้ร่างกายเรายิ่งแย่ลงไปอีกด้วย เพราะเมื่อเรารับน้ำตาลเข้าไปในร่างกาย ร่างกายก็จำเป็นต้องใช้วิตามินบีร่วมในการเผาผลาญเสมอ ๆ และเมื่อไรที่วิตามินบีหมด ร่างกายก็จะเข้าสู่ภาวะพร่องวิตามินบี ผลที่ตามมาก็คือเหนื่อย อ่อนเพลีย ไม่มีแรงนั่นเอง ดังนั้นใครที่อยากสดชื่น ลองเปลี่ยนมาเป็นน้ำสะอาด ๆ สักแก้วน่าจะช่วยได้ดีกว่าเยอะ

6. ปวดหัว ตัวร้อน ต้องพาราฯ

          เคยสังเกตไหมครับว่า ทุกครั้งที่เราไปพบแพทย์ ด้วยอาการไม่ว่าจะอะไรก็ตาม ยาอย่างหนึ่งที่เรามักจะได้กลับมาเสมอ ๆ ก็คือ ยาพาราเซทามอล บางคนเป็นหวัด บางคนเป็นไข้ แต่หลังจากที่กินยาชนิดนี้ลงไปแล้ว อาการที่เป็นก็ดีขึ้น และทำให้เรารู้สึกดีขึ้น ทั้ง ๆ ที่ความเป็นจริงแล้วร่างกายเรากำลังโดนหลอกอยู่ เพราะการกินยาพาราฯ เข้าไปนั้น ไม่ใช่เป็นการแก้ปัญหาที่ถูกจุด

          ก่อนอื่นต้องขออธิบายง่าย ๆ ก่อนว่า ร่างกายของมนุษย์ทุกคนนั้น มีสารชนิดหนึ่งที่สามารถต่อสู้กับโรคภัยต่าง ๆ ที่เข้ามากล้ำกรายร่างกายเราอยู่แล้ว นั่นก็คือ เม็ดเลือดขาว และเมื่อเราเจ็บป่วย เม็ดเลือดขาวก็จะต่อสู้แทนเราทุก ๆ ครั้ง และจะทำงานได้ดีในอุณหภูมิที่สูงกว่าอุณหภูมิร่างกาย

          หมายความง่าย ๆ ก็คือเวลาที่เราตัวร้อนนั้น สาเหตุก็เนื่องมาจากเม็ดเลือดขาวกำลังต่อสู้อยู่ และกำลังจะเอาชนะเชื้อโรคต่าง ๆ ที่บุกเข้าไป แต่ เมื่อเรากินยาพาราเซทามอลเข้าไป ร่างกายก็ปรับอุณหภูมิเข้าสู่ภาวะปกติ ซึ่งเป็นภาวะที่เชื้อโรคชื่นชอบ ทำให้เม็ดเลือดขาวเสียเปรียบ ไม่สามารถทำงานได้เต็มประสิทธิภาพ โรคที่เป็นอยู่ก็แค่ถูกกดทับไว้เท่านั้น แทนที่ร่างกายจะแข็งแรงเร็วขึ้น กลับกลายเป็นเลี้ยงไข้ไปแทน

          นอกจากนี้ ยังมีผลข้างเคียงจากยาพาราเซทามอลนี้อีก เพราะส่งผลรุนแรงต่อตับ ดังนั้นไม่ควรกินติดต่อกันเกิน 5 วัน วิธีที่ดีที่สุดในการแก้ตัวร้อนก็คือ การเช็ดตัว เพราะจะช่วยทำให้ร่างกายถูกกระตุ้น และทำงานได้มีประสิทธิภาพที่สุด ส่วนอาหารปวดหัวพักผ่อนให้เพียงพอแค่นี้อาการก็ดีขึ้นเอง อย่าถึงขั้นต้องกินยาเลยครับ

7. อาหารเสริมรักษาโรค

          ถ้าลองอ่านสลากข้างขวดของอาหารเสริมทุกขวดดี ๆ จะเห็นได้อย่างชัดเจนว่า มีการเขียนระบุไว้ว่า "ไม่มีผลต่อการรักษาโรค" เพราะอาหารเสริมก็คืออาหารเสริม ไม่ใช่ยาที่จะทำหน้าที่เข้าไปรักษาโรคใด ๆ ได้ อาหารเสริมนั้นเป็นเพียงตัวช่วยที่ทำให้ร่างกายได้รับสารอาหารต่าง ๆ ที่ขาดในรูปแบบที่รวดเร็วและสะดวกเท่านั้น แต่ไม่สามารถรักษาโรคนั้น ๆ ที่เป็นได้อย่างร้อยเปอร์เซ็นต์

          การกินอาหารเสริมยังทำให้ผู้คนหลงผิดคิดว่า ไม่จำเป็นต้องห่วงสุขภาพ ละเลยต่อการกินอาหารที่ดี รวมไปถึงไม่ออกกำลังกาย เพราะแม้อาหารเสริมระดับเทพก็คงไม่สามารถช่วยเยียวยาใด ๆ ได้อย่างแน่นอน ดังนั้นการกินอาหารดี ๆ ผักสด ผลไม้สด ข้าวกล้อง รวมทั้งออกกำลังกายเป็นประจำ ก็ทำให้ร่างกายได้รับวิตามินและแร่ธาตุอย่างพอเพียงแล้ว หากแต่ถ้าทำไม่ได้ การรู้จักใช้อาหารเสริมเป็นส่วนช่วยเพิ่มก็เป็นเรื่องที่ดี

8. ดื่มน้ำมาก ๆ ดีต่อสุขภาพแน่นอน

          ความเชื่อนี้ทำให้คนจำนวนไม่น้อย ดื่มน้ำกันละทีเป็นลิตร ๆ บางคนยิ่งรู้ว่ายิ่งดื่มยิ่งดีต่อสุขภาพ ก็ดื่มวันละหลายขวด หลายลิตร เรียกกันว่าดื่มกันลิตรต่อลิตรเลยทีเดียว

          การดื่มน้ำเยอะเกินไปแบบนี้เมื่อสะสมเป็นเวลานานเข้า ร่างกายก็จะเกิดอาการปัสสาวะมาก มีสีใส มือเท้าเย็น ทำให้ร่างกายรู้สึกหนาวง่าย นานวันเข้าก็เกิดเป็นอาการสะสมที่เรียกว่าอ่อนเพลียเรื้อรัง ขาอ่อนแรง และมีสิทธิ์ที่จะหย่อนสมรรถภาพทางเพศสูงอีกด้วย

          เหตุผลง่าย ๆ ที่ทำให้เป็นเช่นนี้ เพราะเวลาดื่มน้ำเข้าไปมาก ๆ นั้น ไตก็จะทำหน้าที่คัดกรองสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายเก็บไว้ เช่น เกลือแร่ แต่เมื่อเราดื่มน้ำเข้าไปมากเกินความจำเป็น ก็ทำให้ไตทำงานมากขึ้น เมื่อผ่านช่วงเวลาสะสมนานเข้า ก็กลายเป็นอาการ "พร่องพลังไต"  นั่นเอง

          แต่ก็ไม่ใช่ว่าทุกคนจะพร่องพลังไตกันหมด เพราะแม้ในมื้ออาหารที่เรากินเข้าไปในแต่ละมื้อจะมีน้ำอยู่แล้ว และเราก็กินน้ำอยู่ตลอดทั้งวัน แต่ร่างกายเราก็มีการขับถ่ายของเสียประเภทน้ำออกทางเหงื่อ ปัสสาวะ แถมยังใช้ในกระบวนการต่าง ๆ ของร่างกายอยู่แล้ว ดังนั้นหากไม่ดื่มน้ำเลย หรือดื่มน้ำน้อยไปก็ส่งผลเสียต่อสุขภาพเช่นกัน

          ทางออกที่ดีที่สุดก็คือ อย่ารอให้หิวกระหายน้ำ แล้วค่อยดื่มน้ำ แต่ควรจิบน้ำอยู่เป็นประจำตลอดทั้งวัน ไม่ต้องกลัวว่าจะต้องไปเข้าห้องน้ำบ่อย หรือจะทำให้ไตทำงานหนัก เพราะการดื่มน้ำสะอาด ๆ เป็นประจำอย่างน้อยวันละ 8 แก้ว มีผลทำให้ผิวเรามีสุขภาพดี รวมไปถึงร่างกายเราก็สุขภาพดีอีกด้วย

9.กินไขมันแย่ ตายผ่อนส่ง

          เป็นอีกหนึ่งความเชื่อที่หลาย ๆ คนคิด และยืนยันในการเลือกกินอาหารไร้มัน เพราะจะทำให้น้ำหนักขึ้น แต่นั่นไม่ใช่ทั้งหมดของสิ่งที่ไขมันมีอย่างแน่นอน เพราะนอกจากความอ้วนแล้ว ไขมันยังมีประโยชน์ในส่วนของเป็นสารประกอบพื้นฐานในเยื่อหุ้มเซลล์ ช่วยสร้างเนื้อเยื่อของสมองและเส้นประสาท และมีความสำคัญในการทำให้เซลล์ เนื้อเยื่อ ต่อม และอวัยวะต่าง ๆ ทำงานได้ตามปกติ แถมยังเป็นตัวช่วยในการซ่อมแซมเซลล์ที่เสื่อมสภาพ และให้พลังงานที่เสถียรกับ ร่างกายในระยะยาว

          ไขมันยังเป็นตัวที่ช่วยในเรื่องของการละลายวิตามิน A, D, E, K ซึ่งมักจะพบมากในพวกถั่วเปลือกแข็งต่าง ๆ เช่น อัลมอลด์ วอลนัท เมล็ดธัญพืชต่าง ๆ หรือแม้กระทั่งอาหารจำพวกปลาที่มีไขมันสูงก็มีประโยชน์ เช่น ปลาแซลมอน ปลาทูน่า หรือผลไม้อย่าง อะโวคาโด้ มะกอก ก็มีกรดไขมันตัวดีที่นำไปใช้ และก่อให้เกิดประโยชน์ต่อร่างกายด้วยเช่นกัน

10. กินผลไม้เยอะ ๆ มีประโยชน์

          ความเชื่อนี้เกือบจริง เพราะผลไม้เป็นสิ่งที่มีประโยชน์และมีวิตามิน แถมมีกากใยอีกต่างหาก แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าการกินผลไม้ชนิดเดียวกันมาก ๆ ต่อเนื่องยาวนานจะมีประโยชน์

          อย่างเช่น ถ้าเรากินทุเรียนหลังอาหารเย็นทุกวัน คุณคิดว่าจะทำให้สุขภาพดีขึ้นไหม เพราะในผลไม้นั้นมีน้ำตาลฟรุกโตสเป็นสารให้ความหวานหลัก ซึ่งมีโอกาสส่งผลให้ผู้ป่วยที่ป่วยเป็นโรคเบาหวาน มีอาการน้ำตาลในเลือดสูง หรือแม้กระทั่งผู้ป่วยโรคหัวใจหรือความดันโลหิตสูงก็ตาม ผลไม้บางชนิดก็ไม่เหมาะด้วยเช่นกัน



แหล่งที่มา  Mix Magazine, http://health.kapook.com/view20329.html
Cr. Pic.  
https://www.pinterest.com/pin/913738211870968722/

Monday, September 14, 2015

10 พฤติกรรมการขับรถสุดปวดตับ ที่เจอบ่อยบนถนนในเมืองไทย




         คุณใช้เวลากี่ชั่วโมงต่อวันบนท้องถนน ? เชื่อว่าคำตอบของแต่ละคนจะใช้เวลาไม่เท่ากัน แต่มีผลสำรวจเมื่อต้นปี 58 ว่าคนไทยใช้เวลาบนท้องถนนเฉลี่ย 20 ชม. ต่อสัปดาห์ หรือราว ๆ 2 ชม. 30 นาทีต่อวัน

          แต่ใช่ว่าจำนวนรถที่เยอะจะเป็นต้นเหตุของรถติดเพียงอย่างเดียว วันนี้เราจึงมาเปิด 10 พฤติกรรมสุดปวดตับ ที่เจอบ่อยในถนนเมืองไทย ทั้งปัญหาวินัยจราจรและพฤติกรรมการขับขี่ที่ก่อให้เกิดปัญหารถติด รวมถึงมีความเสี่ยงที่จะเกิดอุบัติเหตุ
#ขับรถแย่แก้ไม่ยาก
#ToyotaCampusChallenge

         
1.จอดตรงไหนก็ได้ แค่เปิดไฟฉุกเฉิน?!?!

          เคยบ้างไหมที่ขับตามกันมาอยู่ ๆ เปิดไฟฉุกเฉินแล้วเดินลงจากรถไปเสียอย่างนั้น พบเห็นได้บ่อยมาก ที่ริมทางมีร้านอาหารเจ้าดังหรือมินิมาร์ทสะดวกซื้อ

          ทำให้รถที่ขับตามมาต้องเบี่ยงเลนออก เสี่ยงอุบัติเหตุ เสียการจราจรไปหนึ่งช่อง แค่สักพักเดี๋ยวรถก็เริ่มติดตามมาแน่นอน

         
2.เปลี่ยนเลน ไม่เปิดไฟเลี้ยว

         นี่เป็นอีกสาเหตุที่มักก่อให้เกิดอุบัติเหตุ ทั้งการเปลี่ยนเลน เลี้ยวเข้าซอย และบ่อยครั้งเมื่อเกิดอุบัติเหตุขึ้นมาแล้วมาเปิดไฟเลี้ยวทีหลังเพราะกลัว ความผิดเสียอย่างนั้น

         
3.ขับรถคล่อมเลนไปมา

          การที่ขับคร่อมเลนกินพื้นที่จราจร จะซ้ายไม่ซ้าย จะขวาไม่ขวา ทำให้รถคันหลังก็ไม่สามารถเดาทางได้ รวมไปถึงการคร่อมเลนเวลาเลี้ยวไม่ควรกินซ้ายหรือขวา เพราะอาจไปเบียดกับรถเลนอื่น

         
4.เปิดไฟตัดหมอก โดยไม่จำเป็น

         เรื่องเปิดไฟตัดหมอกพบบ่อยเอามาก ๆ โดยชุดไฟตัดหมอกมีความสว่างจ้ากว่าปกติ รบกวนสายตาของเพื่อนร่วมทาง หลายคนบอกว่าแสงวาบที่สวนมา ทำตาพร่าไป 2-3 วินาทีเลยทีเดียว เชื่อเถอะว่าประเทศไทยนับครั้งได้ที่เจอหมอก ใครที่ชอบเปิดเพราะว่าสวยงามอยากให้คิดใหม่ ระวังโดนข้อหาเปิดไฟตัดหมอกหน้า-หลัง โดยไม่มีเหตุอันควร จับปรับ 500 บาท

         
5.ขับหรือจอดรถ บนทางเท้า

         ตำรวจจราจรเองกวดขันกันอยู่บ่อย ๆ เพราะไปรบกวนผู้เดินสัญจรบนทางเท้า อย่าเอาความสะดวกสบายของตัวเองเป็นหลัก แต่ถึงกระนั้นก็ยังมีพบเจอกันบ่อย ๆ

         
6.ปาดหน้าแซงคิว เส้นทึบไม่สน

          โดยปกติแล้วทางคับขัน ไม่ปลอดภัย หรือเป็นจุดเสี่ยง จะมีการตีเส้นทึบบอกห้ามเปลี่ยนเลนตัวอย่างเช่น คอทางขึ้นสะพาน เลนยูเทิร์น และทางเบี่ยงเลน แต่ก็บ่อยครั้งจะเจอคนขับนิสัยมักง่ายขับแทรก ปาดหน้าเอาไว ไม่คิดต่อแถว เสี่ยงเกิดอุบัติเหตุ ก่อปัญหารถติดหนักกว่าเดิม

         
7.ขับช้าแช่ขวา

          เรื่องนี้เจอบ่อยแถมผู้มีพฤติกรรมแบบนี้จะมีข้ออ้างผิด ๆ อย่าง "ใช้ความเร็วตามกฎหมายกำหนดแล้ว" แต่ควรรู้เพิ่มเติมไว้ด้วยว่า พ.ร.บ.จราจร มาตรา 34 และมาตรา 35 เขียนไว้ชัดเจนว่า เลนขวามีไว้สำหรับแซงและเมื่อมีรถที่เร็วกว่า ต้องหลบซ้ายเท่าที่กระทำได้ สรุปให้ได้ง่าย ๆ หากมีใครมาต่อท้ายคุณเมื่ออยู่เลนขวาสุด ก็ควรเบี่ยงหลบให้เขาไปครับ

         
8.ขับรถจี้ท้ายคันหน้า

          การขับจี้ท้ายคันหน้านั้นเสี่ยงเกิดอุบัติเหตุได้ง่ายมาก ๆ เพราะระยะเบรกนั้นไม่พอ และรู้ไหมว่าผู้ชนท้ายนั้นผิดเสมอจากข้อหาขับรถโดยประมาท โดยอิงจาก พ.ร.บ.จราจร มาตรา 40 ที่บอกไว้ชัดเจนว่า ควรเว้นระยะให้ห่างจากคันหน้าตามระยะเบรกที่ปลอดภัย

         
9.เปิดเลนถนนเอง

          ยามรถติดเรามักเจอปัญหานี้บ่อย ๆ เพราะเห็นเลนที่สวนมานั้นว่าง ก็ถือวิสาสะเปิดเลนหรือผู้ที่ขับขี่รถมอเตอร์ไซค์กินเลนมาก็เจอบ่อยครั้ง เกิดอุบัติเหตุขึ้นไม่คุ้มเอาเสียเลย

         
10.ไม่ทำตามเครื่องหมายจราจร

          คนขับรถทุกคนควรสังเกตเครื่องหมายจราจรให้ดีไม่ว่าชนิดป้ายหรือสัญลักษณ์บน ทาง ซึ่งในบางทางแยกก็มีกำกับไว้แล้วว่าเลนบังคับตรง แต่บ่อยครั้งก็พบเจอรถมาจอดรอเลี้ยว หรือห้ามยูเทิร์นก็ฝ่าฝืนกันบ่อย ๆ ส่งผลให้การจราจรติดขัด

          ตัวอย่างทั้ง 10 ข้อที่ยกมานั้นถือเป็นความผิดที่ชัดเจนและพบเจอบ่อยมากบนถนนเมืองไทย

คัดบทความบางส่วนมาจาก
เครดิตภาพ  http://www.gazdagnok.hu/category/nok-es-penz/