Saturday, October 24, 2015

15 ทางลัดเสกบ้านสะอาด ของคนเกลียดงานบ้านแต่ยังต้องทำ !




          ไปดูทริคที่จะทำให้บ้านสะอาดโดยที่ไม่ต้องลงแรงทำอะไรให้ยุ่งยาก รับรองได้เลยว่าชีวิตความเป็นอยู่ของคุณจะสบายขึ้นเยอะ ด้วย 15 ทางลัดที่จะทำให้บ้านสะอาดในเวลาอันรวดเร็ว

          หากคุณเป็นคนที่ไม่ชอบทำความสะอาดบ้าน แต่ดันไปสวนทางกับความต้องการที่อยากจะเห็นบ้านสะอาดสะอ้านก็ไม่ต้องกังวลไป เพราะวันนี้กระปุกดอทคอมมีทริคทางลัดดี ๆ ที่จะทำให้บ้านของคุณดูดีมีระเบียบโดยที่ไม่ต้องออกกำลังให้เหนื่อยมาบอกให้ฟัง  ถ้าไม่อยากเสียเวลาและอยากนอนสบาย ๆ ในวันหยุดมากขึ้น ก็รีบตามไปดูทางลัดเสกบ้านสะอาดเหล่านี้กันเลย
 

1. เก็บแต่ของจำเป็นไว้ใช้ ไม่สะสมขยะ

          เดินสำรวจเลยว่าในบ้านมีของใช้อะไรบ้างที่จำเป็นต้องใช้และหยิบมาใช้บ่อยก็ให้เก็บเอาไว้ แต่ถ้าอันไหนคิดว่าไม่จำเป็นต้องมีแล้วก็ได้ ควรนำไปทิ้งหรือบริจาคดีกว่า เพราะทำให้บ้านดูโล่งขึ้นเยอะเลยล่ะ

2. หาอุปกรณ์ไว้จัดเก็บข้าวของให้เข้าที่


          บ้านที่ดูรกหูรกตาอาจจะไม่ได้มาจากเศษขยะเสมอไป ของใช้ชิ้นเล็กชิ้นน้อยที่วางไม่เป็นระเบียบต่างหากที่ทำให้บ้านดูรก ถ้าจะให้ดีควรหาชั้นวาง ราวแขวน หรือกล่องมาติดตั้งไว้เก็บสิ่งของเหล่านั้นให้เป็นระเบียบหลังการใช้งานเสร็จ

3. จัดหาสิ่งล่อใจให้ลูกน้อยจะได้ไม่ทำลายข้าวของ

          คุณพ่อ-คุณแม่หลายคนต้องถึงกับกลืนไม่เข้าคายไม่ออกกับผลงานศิลปะบนเครื่องใช้ไฟฟ้าและผนังกำแพง เอาเป็นว่าแค่ลองหาสิ่งของ อย่างเช่น กระดานวาดเขียนมาให้เขา เพื่อเบี่ยงเบนความสนใจไม่ให้กลับไปวาดเขียนของใช้อีก

4. ล้างอ่างล้างหน้าตอนอาบน้ำไปด้วย

          ไหน ๆ ก็จะอาบน้ำทั้งทียอมลงทุนเสียเวลาล้างอ่างล้างหน้าไปด้วยก็คงจะไม่เสียหายอะไร จะได้เป็นการกำจัดเชื้อโรคที่พื้นผิวอ่างไปในตัว แถมยังไม่ต้องหาเวลามาขัดล้างทำความสะอาดให้เป็นเรื่องราวใหญ่โต

5. ตั้งกฎให้ทุกคนในบ้านทำความสะอาดวันละ 10 นาที


          อยากให้บ้านสะอาดทั้งทีมันก็ต้องร่วมมือกัน ตั้งกฎให้ทุกคนในบ้านช่วยกันสละเวลาทำความสะอาดเล็ก ๆ น้อย ๆ คนละ 10 นาที เพื่อให้บ้านแลดูสะอาดสะอ้านในทุก ๆ วันและไม่ต้องเหนื่อยคนเดียว

6. หลีกเลี่ยงการใช้กระดาษให้ได้มากที่สุด

          อีกหนึ่งปัจจัยที่ทำให้บ้านแลดูรกต้องตามเก็บทำความสะอาดตลอดนั่นก็คือ กระดาษ ให้ลองปรับลดการใช้กระดาษในบ้านให้น้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้ หาวิธีจัดการกับบรรดาแมกกาซีนและเอกสารสำคัญต่าง ๆ อย่างเช่น ชั้นวางของและกล่องใส่เอกสารให้เป็นระเบียบ

7. จัดเก็บที่นอนทุกเช้าหลังตื่นนอน


          หลังตื่นนอนในทุก ๆ เช้าเราต้องยอมสละเวลาซัก 5 นาที เพื่อจัดเก็บที่หลับที่นอนให้เป็นระเบียบ แค่พับผ้าห่มจัดเก็บหมอนและปัดฝุ่นบนที่นอน เท่านี้ห้องนอนของคุณก็จะดูดีเหมือนที่เคยจินตนาการเอาไว้แล้วล่ะ

8. ตั้งข้อกำหนดที่เหมาะสมกับตัวเอง

          หากคุณไม่มีเวลาและไม่อยากทำความสะอาดบ่อย ๆ แนะนำให้ตั้งข้อกำหนดที่เหมาะกับไลฟ์สไตล์ในเรื่องของความสะอาด เพื่อเตือนตนเองว่าทำแค่ไหนบ้านถึงจะไม่รก อย่างเช่น ไม่หยิบจานชามมาใช้เยอะเกินความจำเป็นจนต้องล้างครั้งละมาก ๆ

9. โยนผ้าเปื้อนลงตะกร้าเลยทันทีที่ถอดออก

          พฤติกรรมเผลอเอาเสื้อผ้าที่ใช้แล้วไปพาดไว้ตามที่ต่าง ๆ คืออุปสรรคในการสร้างบ้านให้สะอาด หลังจากถอดเสื้อผ้าแล้วยอมสละกำลังกายเดินเอาไปใส่ในตะกร้าเลยทันทีดีกว่าวางทิ้งไว้เกลื่อนบ้าน

10. ล้างจานจำนวนน้อยเลยทันทีไม่ควรแช่ทิ้งไว้

          ระหว่างมื้ออาหารใหญ่ ๆ มันก็ต้องมีอาหารว่างกันบ้าง หากจานใส่อาหารว่างเหล่านั้นไม่ได้มีมากมายอะไรมากนัก แนะนำให้ล้างเลยทันทีไม่ควรแช่ทิ้งเอาไว้ให้ต้องเหนื่อยล้างจานกองโตทีหลัง

11. ตั้งเวลาทำงานบ้านเพียง 5 นาที

          เวลา 5 นาทีของคนทั่วไปอาจจะแลดูน้อยแต่แค่ 5 นาทีก็มากพอแล้ว โดยตั้งเวลาไว้เลยว่าระหว่างการพักผ่อนในทุก 25 นาที ขอแบ่งเวลามาสัก 5 นาทีลงมือทำความสะอาดบ้านเล็ก ๆ น้อย ๆ ดีกว่าไม่ได้ทำอะไรเลยจนบ้านค่อย ๆ สกปรกเลอะเทอะ

12. ทยอยซักผ้าทุกวันเพื่อลดปริมาณผ้าเปื้อน

          อย่ารอให้ถึงวันหยุดแล้วค่อยซักทำความสะอาดเสื้อผ้า เปลี่ยนมาเป็นทยอยซักทุกวันวันละถังก็ยังดีเพื่อการสะสมผ้าเปื้อนกองโต จะได้ไม่ต้องนั่งเซ็งกับการซักผ้าในวันหยุดทั้งวัน แถมยังมีเวลาไปพักผ่อนมากขึ้นอีกต่างหาก

13. เช็ดเคาน์เตอร์ครัวหลังทำอาหารเสร็จทันที

          เมื่อเสร็จจากการโชว์ฝีมือทำอาหารแล้ว ก็อย่าเพิ่งสะบัดผ้ากันเปื้อนออกจากครัวไปเลยทันที หันไปหยิบผ้ามาเช็ดเคาน์เตอร์ครัวสักนิดก่อนออกไป รับรองได้เลยว่าครัวจะดูสะอาดสะอ้านไม่ต้องทำความสะอาดบ่อย ๆ แน่นอน

14. หาห้องไว้ทำกิจกรรมรก ๆ

          บ้านที่สะอาดเอี่ยมทุกกระเบียดนิ้วอาจจะสร้างบรรยากาศที่อึดอัดให้กับคนในบ้าน ฉะนั้นควรจะหามุมหรือห้องใดห้องหนึ่งเพื่อใช้เป็นพื้นที่เพื่อทำกิจกรรมที่ต้องมีเรื่องรก ๆ เข้ามาเกี่ยวข้อง เช่น พื้นที่ให้ลูกน้อยนั่งเล่นของเล่น จะได้ไม่ต้องทำให้พื้นที่อื่น ๆ รกตามไปด้วย

15. จัดกลุ่มทำความสะอาดให้กับสมาชิกในบ้าน

          อย่าท้อใจว่าทำไมคุณต้องทำความสะอาดอยู่คนเดียว เพราะคนรอบข้างสมาชิกในบ้านนี่แหละที่จะมาเป็นกำลังหลักสำคัญในการช่วยกันทำความสะอาดบ้าน โดยจัดการจับกลุ่มแบ่งหน้าที่ให้ลงตัวว่าใครทำอะไรวันไหนหรือทำตารางติดเตือนความจำไว้เลย เท่านี้คุณก็จะได้ไม่ต้องทนเหนื่อยอยู่คนเดียวแล้วล่ะ

          ทริคง่าย ๆ เหล่านี้อาจจะเป็นแค่ส่วนหนึ่งที่ช่วยให้คนเบื่องานบ้านไม่ต้องทำความสะอาดที่ทั้งหนักและเยอะแยะบ่อย ๆ หากใครคิดว่าเทคนิคเหล่านี้เหมาะกับการใช้ชีวิตก็อย่าลืมนำไปใช้กันดูนะคะ

Friday, October 23, 2015

8 สัญญาณเตือนว่าคุณกำลังเปิดช่องโหว่ให้ขโมยขึ้นบ้าน !



         ไปดูเหตุจูงใจอะไรกันที่ทำให้โจร ร้ายเลือกเข้ามาขโมยของในบ้านคุณ ซึ่งอาจเป็นเพราะตัวคุณเองก็ได้ถ้ายังทำพฤติกรรมเหล่านี้อยู่ ถ้าอยากรู้ว่ามีอะไรบ้างนั้นต้องรีบไปดูกันด่วนเลยค่ะ

          หากไม่รู้ก็ควรที่จะต้องรีบอ่านไว้เลยเพราะความแน่นอนมันจับต้องไม่ได้ ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่าประเทศที่มีเศรษฐกิจเจริญเติบโตอย่างสหรัฐอเมริกา จะมีสถิติการก่อเหตุอาชญากรรมยกเค้าในทุก ๆ 15 วินาที จากผลงานการวิจัยของ ศ. ดร.โจเซฟ บี คันส์ แห่งภาควิชาอาชญาวิทยาและการบริหารงานยุติธรรม มหาวิทยาลัยนอร์ทแคโรไลนา และผลงานการวิจัยอื่น ๆ ในปี 2013 ชี้ให้เห็นถึงแผนการของคนร้ายที่เราอาจจะหลงลืมไปเลยว่าบางการกระทำของเรา นั่นแหละที่เอื้อประโยชน์ให้โจรเข้ามาขโมยของในบ้าน

 1. แค่การทิ้งขยะไว้หน้าบ้านก็สร้างโจทย์ให้โจรวิเคราะห์ได้

          ไม่น่าเชื่อว่าแค่การทิ้งขยะธรรมดา ๆ โจรก็สามารถวิเคราะห์สถานการณ์ในบ้านได้แล้ว เช่น ถ้าเรานำขยะออกมาทิ้งไว้หน้าบ้านในวันพฤหัสบดี เพื่อตั้งไว้รอให้รถขยะมาเก็บในวันจันทร์ โจรจะรู้เลยทันทีว่าในช่วงศุกร์ เสาร์ และอาทิตย์ จะไม่มีใครอยู่บ้านเลย เมื่อบ้านปลอดคนขนาดนี้ก็ได้เวลาโจรเข้ามายกเค้า อีกหนึ่งกรณีที่โจรสามารถตีความหมายจากการทิ้งขยะได้นั่นก็คือ หากเรานำกล่องทีวีจอใหญ่ ๆ หรือกล่องสินค้าที่มีราคาสูงไปทิ้งไว้หน้าบ้าน โจรก็รู้ว่าในบ้านหลังนี้มีทรัพย์สินที่มีค่ารอให้เข้าไปยกเค้าอยู่

2. แต่งสวนด้วยพุ่มไม้สูง เปิดช่องให้โจรย่องเข้าบ้าน

          หารู้ไม่ว่าการแต่งบ้านแนวรักธรรมชาติด้วยพุ่มไม้สูง อาจจะทำให้เราต้องตกเป็นเหยื่อโดนยกเค้าได้เลยนะ เพราะพุ่มไม้สูง ๆ นี่แหละจะกลับกลายเป็นโล่กำบังไม่ให้คนอื่นสามารถสังเกตเห็นพฤติกรรมการงัด แงะหรือคนร้ายอาจจะใช้ในการพรางตัวก็เป็นได้ ถ้าคิดที่จะแต่งสวนด้วยพุ่มไม้สูงควรเลือกไม้ชนิดที่มีหนามแหลมเพราะจะช่วย ป้องกันไม่ให้คนร้ายอาจหาญผ่านหนามเข้ามายังบ้านเรา

3. หน้าต่างในโรงรถที่กลายเป็นโอกาสให้โจรเก็บข้อมูล

          หากบ้านไหนมีโรงรถที่เชื่อมต่อกับตัวบ้านต้องระวังให้ดี ยิ่งถ้าโรงรถมีการติดตั้งหน้าต่างมากเกินความจำเป็นแล้วด้วยนั้น ยิ่งกลายเป็นช่องว่างให้คนร้ายได้แอบมองและเก็บข้อมูลการใช้ชีวิตในบ้านของ คุณเอง และใช้ช่องหน้าต่างในโรงรถแอบหลบเข้ามาในบ้านเรา

4. เป็นทาสเหมียวแล้วเลี้ยงแมวก็เสี่ยง

          ไม่ผิดอะไรหรอกหากคุณจะรับน้องแมวเหมียวที่น่ารักมาเลี้ยงไว้ที่บ้านสักตัว แต่วิธีการเลี้ยงแมวบางวิธีนั่นแหละที่อาจจะผิด เพราะโจรจะสังเกตจากรอยขีดข่วนของน้องแมวบนรถ และพวกมันจะรู้ดีว่าหากคุณเลี้ยงแมวจริงคุณจะแง้มหน้าต่างบ้านไว้เพียงนิด หน่อยเพื่อให้เป็นทางเดินของเหมียว โจรก็จะพุ่งเป้าหมายการยกเค้าเป็นบ้านคุณทันที เพราะมีแต่แมวไม่มีน้องหมาที่คอยเห่าเสียงดังให้คนในบ้านรู้ตัว

5. ติดชื่อเจ้าของบ้านไว้ที่กล่องรับจดหมายก็ง่ายต่อการโทรเช็ก

          เข้าใจดีค่ะว่าคุณอยากให้บุรุษไปรษณีย์ส่งจดหมายได้ถูกบ้าน แต่นั่นก็เป็นช่องว่างให้โจรเอาชื่อของคุณไปเสิร์ชหาเบอร์โทรได้อย่างง่าย ดาย เพราะพวกมันจะโทรเข้ามาเช็กสถานการณ์และความเป็นอยู่ประจำวันในบ้านคุณ ดังนั้นหากมีสายแปลก ๆ โทรมาถามข้อมูลในเชิงหลอกล่อให้เราตั้งสติและไม่เผลอบอกข้อมูลส่วนตัวออกไป เด็ดขาด

6. เลือกซื้อบ้านที่อยู่ข้างที่พักอาศัยแบบเช่า

          นี่แหละคือช่องโหว่ที่ใหญ่ที่สุดที่เราอาจจะมองข้ามไป ผู้เช่าแปลกหน้าที่เรารู้จักมาก่อนนั้นเราไม่สามารถล่วงรู้ถึงลักษณะนิสัย ที่แท้จริงของพวกเขาเลย มิหนำซ้ำพวกโจรอาจจะแอบสังเกตพฤติกรรมความเป็นอยู่ของเราอย่างใกล้ชิดจาก ห้องเช่าเพื่อเตรียมการยกเค้าก็เป็นได้ หากคุณสังเกตเห็นความผิดปกติที่อาจส่อไปในทางที่ไม่ดีให้รีบโทรแจ้งตำรวจไว้ ก่อนค่ะ

7. จ้างคนทำความสะอาดในคราบนกต่อล่อโจร

          แน่นอนอยู่แล้วว่าการปล่อยให้คนแปลกหน้าเข้าบ้านเราก็ต้องระแวงเป็นพิเศษ อยู่แล้ว ไม่เว้นแม้แต่ลูกจ้างที่มาทำความสะอาดในบ้าน เพราะเขาอาจจะผันตัวเป็นนกต่อแอบเปิดประตูทิ้งไว้ และให้ข้อมูลภายในกับโจรเข้ามาปล้นบ้านได้ ถ้าจำเป็นที่จะต้องจ้างคนมาทำความสะอาดควรจะหาคนที่ไว้ใจได้มาช่วยสังเกต การณ์ตั้งแต่เริ่มไปยันเสร็จสิ้น

8. เปิดไฟในบ้านทิ้งไว้ทั้งคืน

          หลายคนคิดว่าการเปิดไฟทิ้งไว้ในบ้านยามค่ำคืนช่วยป้องกันอันตรายจากคนร้าย แต่ในความเป็นจริงแล้วโจรจะมาเดินสังเกตการณ์แอบมองสถานการณ์ภายในบ้านของ คุณเพื่อวางแผนแอบย่องเข้ามายกเค้า ดังนั้นให้เปลี่ยนไปเป็นการเปิดไฟนอกบ้านแทน โดยเฉพาะไฟที่สามารถเปิดเองได้อัตโนมัติเมื่อฟ้ามืดลงจะดีกว่า

          ถ้าบ้านของคุณมีสัญญาณเหล่านี้ปรากฏอยู่ละก็ไม่ต้องตกใจไป ให้รีบตรวจเช็กแล้วหาทางแก้ไขโดยด่วน ก่อนที่จะเอาน้ำตาไปเช็ดหัวเข่าให้ช้ำใจเล่น เพราะโดนเจ้าหัวขโมยยกเค้าจนหมดบ้าน

ขอขอบคุณข้อมูลจาก countryliving และ goodhousekeeping
http://home.kapook.com/view128810.html
เครดิตภาพ  https://www.pinterest.com/pin/796644621564837829/

Thursday, October 22, 2015

15 ค่าใช้จ่ายฟุ่มเฟือยที่เสียทิ้งไปวัน ๆ บั่นทอนเงินในกระเป๋า !





วิธีประหยัดเงินในกระเป๋า ใครว่าต้องใช้เงินน้อยลง เพียงแค่คุณตัดรายจ่ายเกินความจำเป็นเหล่านี้ทิ้งไป ก็มีเงินเก็บเพิ่มขึ้นได้แล้ว

         รู้ไหมคะว่าค่าใช้จ่ายเกินความจำเป็นแอบแฝงอยู่รอบตัวเราราวกับอากาศที่เรา ใช้หายใจเชียวล่ะ ที่สำคัญหลายคนยังมองไม่ออกด้วยว่า เงินที่เราเสียไปในทุก ๆ วันนั้นเป็นเงินที่จริง ๆ แล้วเราไม่จำเป็นต้องจ่ายออกไปด้วยซ้ำ อย่าง 15 ค่าใช้จ่ายฟุ่มเฟือยเหล่านี้ไง หากคุณสามารถลดหรือตัดค่าใช้จ่ายเกินความจำเป็นเหล่านี้ได้ ก็จะมีเงินเหลือในกระเป๋าเพิ่มขึ้น
 

1. ค่าธรรมเนียมกด ATM ต่างธนาคาร

         บางครั้งแค่เราเช็กยอดเงินผ่านตู้ธนาคารที่ไม่ใช่เจ้าของบัตร ATM ก็โดนเก็บค่าธรรมเนียมต่างธนาคารไป 10 บาทแล้ว อีกทั้งหากยังดันทุรังกดเงินต่างธนาคารอีก ค่าธรรมเนียมก็จะถูกหักไปอีก 10 บาท หรือบางธนาคารก็เรียกเก็บค่าธรรมเนียม 15-25 บาทต่อการกดเงิน 1 ครั้งเชียวนะเนี่ย เงินที่ไม่ควรเสียที่หลายคนชอบคิดไปว่าถือเป็นค่าความสะดวกสบาย จะได้ไม่ต้องเดินไกลไปหาตู้ ATM เจ้าของบัตร แต่หากลองนึกดูดี ๆ เงินจำนวน 15-25 บาทก็สามารถซื้อขนมรองท้องกินได้สบาย ๆ และถ้านำเงินส่วนนี้เก็บไปออม เดือนนึงเราก็มีเงินเก็บอย่างต่ำก็ 300 แล้ว ว่าไหมล่ะ
 
2. เคเบิลทีวี

         ลองนึกดูสิคะว่าในแต่ละวันคุณมีเวลาเปิดดูทีวีสักกี่ชั่วโมงกันเชียว เพราะต้องยอมรับจริง ๆ ว่ากิจกรรมในชีวิตประจำวันก็ทำให้แทบอยู่ไม่ติดบ้าน กลับเข้าบ้านอีกทีก็ถึงเวลาอาบน้ำเตรียมเข้านอนไปแล้ว ฉะนั้นหากนึกได้ว่าทีวีไม่ใช่ปัจจัยสำคัญ แถมหากเปิดดูทีวีก็ดูอยู่แค่ช่องที่ไม่ใช่เคเบิล แบบนี้อาจต้องลดทอนค่าใช้จ่ายส่วนนี้ไปเพื่อเซฟค่าใช้จ่ายมากขึ้น

3. ค่าส่งของออนไลน์

         สำหรับสาวนักช้อปออนไลน์ทั้งหลาย เคยลองคำนวณบางไหมคะว่า ค่าส่งสินค้าที่คุณซื้อผ่านทางออนไลน์แต่ละชิ้น เดือนนึงรวมกันแล้วเป็นเงินเท่าไร เพราะต้องบอกว่าบางคนซื้อของทางออนไลน์หลายเจ้ามาก ๆ และมักต้องเสียค่าส่งสินค้าชิ้นละ 50 บาทเป็นขั้นต่ำ ซึ่งถ้าซื้อมา 5 เจ้า ก็ต้องเสียค่าส่งสินค้าไปฟรี ๆ 250 บาท โอ้ ! เยอะอยู่นะ ฉะนั้นหากเป็นไปได้พยายามช้อปออนไลน์น้อย ๆ จะดีกว่า แล้วค่อยหาโอกาสไปช้อปด้วยตัวเองสักเดือนละครั้งก็พอ

4. เครื่องดื่มที่ไม่ใช่น้ำเปล่า

         ชา กาแฟ น้ำอัดลม หรือน้ำหวานต่าง ๆ ที่ไม่ใช่น้ำเปล่า สินค้าเหล่านี้มีราคามากกว่า 10 บาททั้งนั้น ซึ่งหากคุณซื้อเครื่องดื่มเหล่านี้มาดื่มวันละ 2 ชนิดเป็นอย่างต่ำ ก็ตกเป็นเงินวันละ 20 บาท เดือนนึงก็ตกราว ๆ 600 บาท นี่ยังไม่นับกาแฟมีแบรนด์แก้วละ 50-150 บาทเลยนะ

         ลอง คิดดูสิว่าใน 1 เดือนคุณต้องจ่ายค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นเหล่านี้ไปเท่าไร ดังนั้นหันมาดื่มน้ำเปล่าแทนดีกว่า และหากจะให้ดีที่สุด ควรเป็นน้ำเปล่าจากขวดที่เราพกไปด้วย จะได้ช่วยเซฟค่าน้ำเปล่าขวดพลาสติกยังไงล่ะ

5. ขนมขบเคี้ยว

         เข้าใจว่าคนเราก็มีอารมณ์อยากกินขนมขบเคี้ยวแบบเด็ก ๆ กันบ้าง แต่เชื่อไหมคะว่าขนมที่ขายห่อละ 5-10 บาท บางครั้งราคาที่ดูน้อยนิดก็ทำให้เราเผลอซื้อกินทุกวัน วันละหลายถุงเอาได้ ซึ่งหากมานั่งนึกดูดี ๆ ต๊าย ! นี่เรากินขนมพวกนี้ตกวันละไม่ต่ำกว่า 20 บาทเลยอะ หนำซ้ำก็สังเกตเห็นได้ชัดเลยว่าน้ำหนักตัวขึ้นมาหลายกิโลกรัมเพราะขนมหลอก เด็กเหล่านี้ล่ะ !

6. ค่าอาหารสนองความอยาก

         ยอมรับมาซะดี ๆ ว่าบางครั้งเราก็รู้สึกอิ่มแสนอิ่ม แต่พอเจอขนมหรืออาหารที่อยากกินก็อดไม่ได้ที่จะซื้อ แล้วพอกินได้ไม่กี่คำก็อิ่มเกินจะกินต่อได้ สุดท้ายจุดจบของอาหารตามใจปากที่รั้นซื้อมาก็ไปอยู่ในถังขยะเรียบร้อย เรียกได้ว่า ค่าอาหาร 30 บาท กินไปแค่ 10 บาทยังไม่ถึงซะด้วยซ้ำ นี่ล่ะที่เขาเรียกว่าใช้จ่ายฟุ่มเฟือย

7.  ค่ากินข้าวนอกบ้าน

         ในหนึ่งเดือนเราควรจำกัดครั้งในการรับประทานอาหารที่ร้านอาหาร อย่างมากควรไม่เกิน 2 ครั้งต่อเดือน เนื่องจากเวลาที่เราไปกินอาหารนอกบ้าน โดยเฉพาะในร้านอาหารหรือภัตตาคารหรู เราไม่ได้เสียแค่ค่าอาหารที่เรากินจนอิ่มท้องเท่านั้นหรอกนะคะ แต่ยังมีค่าภาษีและค่าบริการ เช่น ค่าพนักงานเสิร์ฟ ทิปส์พนักงาน ค่าแอร์ ค่าที่จอดรถ รวมทั้งค่าเดินทาง เบ็ดเสร็จแล้วในหนึ่งมื้อที่ร้านอาหาร ก็ต้องควักเงินเกิน 1,000 ต่อครั้งแน่ ๆ

8. ดอกเบี้ยบัตรเครดิต

         ใช้จ่ายเกินตัวจนเผลอรูดบัตรเครดิตในวงเงินที่เกินจะจ่ายไหว จนต้องยอมแบ่งจ่ายทีละครึ่ง ซึ่งก็ย่อมต้องเสียค่าดอกเบี้ยในส่วนที่ค้างจ่ายไปด้วย และหากเดือนต่อไปคุณไม่รัดเข็มขัด รูดบัตรเครดิตไปเพิ่ม นี่ก็จะเป็นการทบดอกเบี้ยและเงินต้นให้ทวีคูณขึ้นไปอีก

         ดังนั้นพยายามใช้บัตรเครดิตเท่าที่จะสามารถจ่ายได้ไหว และพยายามชำระให้ตรงตามกำหนด เพื่อเลี่ยงดอกเบี้ยในกรณีชำระบัตรเครดิตเกินกำหนดด้วยนะคะ

9. ค่าอินเทอร์เน็ต

         อินเทอร์เน็ตรายเดือนที่ความเร็วยิ่งสูง ราคาก็จะยิ่งสูงขึ้นไปด้วย ซึ่งถ้าว่าไปตามจริงแล้ว หากคุณเป็นแค่คนที่ท่องเว็บวาไรตี้ และดูยูทูบ ก็ไม่จำเป็นต้องเลือกใช้อินเทอร์เน็ตความเร็วสูงเว่อร์เกินไป อย่างความเร็ว 30 เมกะไบต์นี่บอกผ่านไปเลยดีกว่า ใช้แค่ความเร็ว 10 เมกะไบต์ก็เกินพอแล้ว แถมยังช่วยตัดรายจ่ายเกินความจำเป็นได้อีกเยอะ

10. แพ็กเกจมือถือ

         บางคนต้องจ่ายค่ามือถือเดือนละเกือบ 1,000 บาท ทั้งที่จริง ๆ แล้วก็ไม่ค่อยได้ใช้ 3G หรือ 4G จากแพ็กเกจนั้นเท่าไร เน้นใช้สัญญาณ Wifi จากที่บ้านและที่ทำงานซะมากกว่า แล้วอย่างนี้เราจะมามัวเสียค่าโทรศัพท์รายเดือนที่แพงเกินการใช้งานของเรา ทำไมล่ะ สู้ตัดรายจ่ายส่วนนี้เอาไปออมหรือใช้อย่างอื่นที่จำเป็นกว่าไม่ดีเหรอ

11. ค่าไฟฟ้าส่วนเกินจากปลั๊กที่เสียบทิ้งไว้

         นอกจากตู้เย็นแล้ว ปลั๊กอย่างอื่นในบ้านก็ควรถอดออกทุกครั้งที่ไม่ใช้งาน โดยเฉพาะปลั๊กตู้เย็น พัดลม ไมโครเวฟ หรือคอมพิวเตอร์ที่ชอบเสียบทิ้งไว้ตลอด เพราะแม้เราจะปิดสวิตช์เครื่องใช้ไฟฟ้า แต่เมื่อไรที่ปลั๊กยังเสียบคาอยู่ กระแสไฟก็ยังคงวิ่งไปพร้อมกับตัวเลขบนหน้าปัดมิเตอร์เชียวล่ะ

12. ค่าสมาชิกฟิตเนส

         ไหนใครสมัครสมาชิกฟิตเนสไปแล้วใช้ไม่เกิน 2 ครั้งบ้างยกมือขึ้น ! เชื่อว่าหลายคนสมัครสมาชิกฟิตเนสทิ้งไว้เฉย ๆ โดยไม่ได้ไปใช้บริการให้บ่อยเท่าที่ควร ทั้งที่ค่าสมาชิกสถานออกกำลังกายแบบนี้ราคาเหยียบพันเชียวนะคะ ดังนั้นหากอยากตัดรายจ่ายที่ไม่จำเป็นออกไป ลองไปยกเลิกสมาชิกฟิตเนสดูก็ได้ แล้วไปวิ่งออกกำลังกายตามสวนสาธารณะ หรือโรงยิมตามโรงเรียนที่มีไว้ให้เช่าสถานที่ราคาเบา ๆ ดีกว่า

13. แอพพลิเคชั่นสมาร์ทโฟน

         แอพพลิเคชั่นที่น่าสนใจมีอยู่มากมายบนสมาร์ทโฟน และหลายคนก็ติดกับดักกดซื้อแอพฯ เหล่านั้นอย่างเพลิดเพลิน มารู้ตัวอีกทีก็ตอนบิลค่าบัตรเครดิตส่งมาถึงบ้าน และขอเดาให้ช้ำใจเล่น ๆ ด้วยว่า แอพฯ ที่คุณซื้อมาส่วนใหญ่ก็เป็นแอพฯ ที่มีประดับเครื่องไว้เฉย ๆ ไม่ได้ใช้ประโยชน์อะไรจากมันเท่าไรเลย ดังนั้นโหลดแอพฯ ฟรีไม่ดีกว่าเหรอจ๊ะ

14. ประกันรถยนต์

         ประกันรถยนต์เป็นอีกหนึ่งค่าใช้จ่ายที่ฟุ่มเฟือยสำหรับหลาย ๆ คน โดยเฉพาะคนที่ดูแลรักษารถได้ดีอยู่แล้ว และมีความระมัดระวังในการขับขี่ค่อนข้างสูง การซื้อประกันรถยนต์ชั้นหนึ่งอาจไม่จำเป็นสำหรับคุณสักเท่าไร นอกเสียจากคุณจะเป็นมือใหม่หัดขับที่ถอยรถใหม่มาขับด้วย ดังนั้นลองเลือกเบี้ยประกันภัยที่เหมาะกับตัวเองดูนะ

15. สัตว์เลี้ยง

         แม้การเลี้ยงสัตว์จะช่วยคลายเหงา และทำให้เรามีความสุขได้ แต่ค่าใช้จ่ายที่เราเสียไปกับสัตว์เลี้ยงเหล่านี้ก็เป็นเงินจำนวนไม่น้อย ทั้งค่าอาหาร ค่าขนม ค่าวัคซีน ค่ายารักษาโรค และค่าเสื้อผ้า รวมทั้งของเล่น ซึ่งหากยังไม่มีความพร้อมในการเลี้ยงสัตว์จริง ๆ อย่าเพิ่งเอาเขามาเป็นภาระของเราจะดีกว่า

         ทั้งหมดนี้ก็เป็นค่าใช้จ่ายฟุ่มเฟือยที่ควรตัดทิ้งออกไปจากชีวิตซะ หรืออย่างน้อย ๆ ลดค่าใช้จ่ายให้เบาลงหน่อย จะได้มีเงินเหลือในกระเป๋ามากขึ้นเนอะ

http://money.kapook.com/view132241.html

Sunday, October 4, 2015

พังแน่ ! ถ้าใช้ทิชชูทำความสะอาด 5 สิ่งนี้




        ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่าเจ้า กระดาษทิชชู จะมีฤทธิ์สร้างเรื่องพัง ๆ ให้กับสิ่งของทั้ง 5 อย่างนี้ได้ ถ้าอย่างนั้นไปดูให้รู้ก่อนจะพังคามือกันเถอะ !

          แม้กระดาษทิชชู จะถูกผลิตขึ้นมาเพื่อใช้ใน การทำความสะอาด สารพัดคราบ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าของทุกชิ้นจะสามารถทำความสะอาดด้วยทิชชูได้ โดยเฉพาะสิ่งของ 5 ชนิดนี้ที่อย่าได้ทำความสะอาดด้วยกระดาษทิชชูเชียว เพราะไม่อย่างนั้นจะทำให้เกิดหายนะอย่างที่คุณคาดไม่ถึงเลยเชียวล่ะ ถ้าไม่อยากให้ของในบ้านพังเพราะความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ไปดูกันดีกว่าว่าสิ่งของทั้ง 5 อย่างที่ห้ามใช้กระดาษทิชชูทำความสะอาดมีอะไรบ้าง

1. เช็ดแว่นตาเลนส์แว่นจะพังโดยไม่รู้ตัว

          แม้ว่าเราจะใช้กระดาษทิชชูเช็ดทำความสะอาดแก้วน้ำได้ดีแค่ไหน แต่มันก็ยังไม่เหมาะกับการเช็ด แว่นตา อยู่ดี เพราะแว่นคือเลนส์ที่ใช้ในการขยายและมีสารเคลือบ หากเราตัดสินใจใช้กระดาษทิชชูปาดลงไปละก็ งานนี้แว่นตาได้เป็นรอยขีดข่วนจนทำให้เกิดปัญหากับสายตามากขึ้นแน่ ทางที่ดีควรจะทำความสะอาดด้วยผ้าเช็ดเลนส์โดยตรง หรือใช้น้ำสบู่ล้างคราบมันและนำผ้ามาซับน้ำให้แห้งจะดีกว่าค่ะ

2. เผลอเช็ดเฟอร์นิเจอร์ไม้เจอรอยขีดข่วนแน่

          เชื่อหรือไม่ว่าแค่กระดาษทิชชูเนื้อบางเบาก็ทำให้เฟอร์นิเจอร์ของเราเป็นรอยได้เหมือนกัน ยิ่ง เฟอร์นิเจอร์ไม้เคลือบเงา  อย่างดียิ่งไม่ควรใช้ทิชชูเช็ด แต่ควรจะหาผ้าเนื้ออ่อนนุ่มชุบน้ำยาทำความสะอาดเฟอร์นิเจอร์ไม้มาใช้โดยตรง ดีกว่า ถ้าหากใครเผลอเช็ดไปแล้วและพบว่ามีรอยขีดข่วนบนเนื้อไม้ละก็ แก้ได้โดยนำถุงชาแช่น้ำร้อน แล้วใช้สำลีชุบเช็ดลงไปตรงที่มีรอย จากนั้นนำผงกาแฟผสมน้ำร้อนเล็กน้อย เอาสำลีชุบแล้วแตะซ้ำลงไปที่เดิม พร้อมนำผ้าสะอาดเช็ดตามทันที แค่นี้เฟอร์นิเจอร์ไม้ก็กลับมาเนียบกริ๊บเหมือนเดิมแล้ว

3. เช็ดอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ สะกิดรอยข่วนให้แลดูเก่า

          อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์เป็นอีกหนึ่งสิ่งที่เรามักจะลืมตัวและคว้ากระดาษทิชชู มาเช็ดทำความสะอาดอยู่ตลอด เลยทำให้แก็ดเจ็ตแพง ๆ เกิดรอยขีดข่วนจนดูคล้ายของเก่าไปในบัดดล หากต้องการทำความสะอาดของประเภทนี้ละก็ ให้ทำความสะอาดโดยใช้สเปรย์น้ำยาแอลกอฮอล์ฉีดลงบนผ้าไมโครไฟเบอร์แล้วนำมา เช็ดฝุ่นออกเบา ๆ แทน เพียงเท่านี้รอยนิ้วมือหรือคราบสกปรกที่กวนใจจะถูกกำจัดไปอย่างรวดเร็ว

4. เปลี่ยนพรมนุ่ม ๆ ให้กลายเป็นพรมหยาบ ๆ

          กระดาษทิชชูถือว่าเป็นศัตรูตัวร้ายของพรมเลยล่ะ เพราะถ้าเราหยิบกระดาษทิชชูมาเช็ดลงบนพรมเมื่อไร จาก พรม ที่มีเนื้อนุ่มน่าสัมผัสก็จะกลายไปพรมเนื้อหยาบที่ไม่น่าแตะต้องอีกต่อไป เพราะขุยกระดาษจะลงไปติดสะสมอยู่ในเส้นใยพรมและจับตัวกันเป็นก้อนแข็ง ๆ ในที่สุด ดังนั้นพฤติกรรมเช่นนี้ควรเลิกซะให้สิ้นแล้วเปลี่ยนมาใช้ผ้าขาวทำความสะอาด พรมแทนดีกว่า

5. เช็ดลงบนผ้าโทนสีดำ สร้างรอยด่างขาว

          ระวังให้ดีมิเช่นนั้นคุณอาจจะเสียบุคลิกเพราะเครื่องแต่งกายได้ ถ้ายังใช้กระดาษทิชชูเช็ดทำความสะอาดเสื้อผ้าโทนสีเข้ม ๆ เช่น เสื้อผ้าสีดำหรือสีน้ำเงิน เพราะเจ้าทิชชูขาว ๆ นี่แหละจะทิ้งรอยด่างขาวและขุยไว้บนผ้าเหล่านั้น ทำให้แฟชั่นของคุณดูไม่เข้าท่าเอาซะเลย แนะนำให้ใช้ผ้าสะอาดทั่วไปเช็ดแทนดีกว่าค่ะ ถ้าคุณไม่อยากเป็นผู้นำเทรนด์ด่างขาว

          เมื่อรู้อย่างนี้แล้วคุณยังจะกล้าใช้กระดาษทิชชูเช็ดทำความสะอาดสิ่งของ เหล่านี้อยู่ไหมคะ ทางที่ดีควรทำตามคำแนะนำที่เราให้ไว้ก่อนที่คุณจะช้ำใจกับเจ้ากระดาษทิชชู ตัวร้ายดีกว่า

ขอขอบคุณข้อมูลจาก goodhousekeeping และ wikihow