Monday, January 30, 2017

โยนทิ้งซะ ! 9 สิ่งอัปมงคลผิดหลักฮวงจุ้ย ไม่ควรเก็บไว้ในบ้าน



          สิ่งอัปมงคลผิดหลักฮวงจุ้ย ไม่ควรเก็บไว้ในบ้าน มาดูกันว่าในบ้านมีสิ่งอัปมงคลผิดหลักฮวงจุ้ยอยู่หรือไม่ ถ้ามีควรนำไปทิ้ง เพราะถือว่าเป็นสิ่งไม่ดีที่จะนำเรื่องร้าย ๆ มาให้

          หลายคนอาจจะสงสัยว่า ขนาดลงทุนสร้างบ้านให้ถูกต้องตามหลักฮวงจุ้ยแล้ว แต่ทำไมยังพบเจอแต่สิ่งไม่ดี ชีวิตต้องเผชิญกับความโชคร้ายอยู่ร่ำไป นั่นอาจเป็นเพราะมีสิ่งอัปมงคลผิดหลักฮวงจุ้ยหรือของแต่งบ้านอัปมงคลอยู่ในบ้านนั่นเอง มาดูกันว่าของแต่งบ้านที่ไม่เป็นมงคลมีอะไรบ้างแล้วนำไปทิ้งซะตั้งแต่ตอนนี้ เพื่อป้องกันไม่ให้เรื่องร้าย ๆ เกิดขึ้นกับคนในบ้าน 

1.นาฬิกาตาย

          ในทางฮวงจุ้ยบอกเอาไว้ว่า ไม่ควรเก็บสิ่งของที่พังเสียหายเอาไว้ในบ้าน โดยเฉพาะนาฬิกาที่ตายแล้ว เพราะมันจะสื่อถึงการเสียชีวิต และอาจจะนำมาซึ่งการสูญเสียภายในบ้าน ถ้าไม่อยากโยนทิ้งก็รีบซ่อมซะ

2. ประตูสีดำ

          แม้เทรนด์การแต่งบ้านด้วยประตูสีดำกำลังมาแรง แต่ในทางฮวงจุ้ยมันกลับหมายถึงประตูที่จะนำพามาซึ่งความโชคร้าย เป็นประตูที่คอยเปิดต้อนรับสิ่งไม่ดีให้เข้ามาในบ้าน ยกเว้นถ้าหน้าประตูบ้านหันไปทางทิศเหนือพอดิบพอดี ก็ไม่มีปัญหาอะไรที่น่ากังวล

3. กระจก

          กระจกเป็นของใช้ที่จำเป็นชิ้นหนึ่งในบ้านเลยก็ว่าได้ แต่ในทางฮวงจุ้ยนั้น ไม่ว่าจะเป็นกระจกดีหรือกระจกแตก ก็ล้วนสื่อความหมายในทางลบทั้งสิ้น โดยมีความเชื่อกันมาว่ากระจกสามารถดูดวิญญาณทำให้คนในบ้านเจ็บไข้ได้ป่วยและล้มตายได้

4. ปฏิทินเก่า

          ข้อนี้ไม่ได้หมายความถึงปฏิทินเก่าเพียงอย่างเดียว แต่ยังหมายถึงปฏิทินที่แสดงวัน เดือน และปี ที่ผิดไปจากปัจจุบันอีกด้วย เป็นการสะท้อนถึงเหตุการณ์ที่ผ่าน ๆ มาในอดีต ทำให้เกิดผลกระทบในทางลบกับชีวิตของคนในบ้าน

5. จาน-ชามแตก

          ต่อให้เสียดายแค่ไหนก็ควรโยนทิ้ง เพราะการเก็บจาน-ชามที่แตกหรือชำรุดเสียหายเหล่านี้เอาไว้ในบ้านหรือกลับนำมาใช้งาน เท่ากับว่าเป็นการตอกย้ำและสะกดจิตใต้สำนึกของเราให้เปิดรับแต่เรื่องแต่แย่ ๆ เข้ามาในชีวิตและบ้านของเราเอง

6. ต้นไม้มีหนาม

          ต้นไม้มีหนามอย่าง ต้นไม้ตระกูลกระบองเพชรและพืชชนิดอื่น ๆ ยกเว้นกุหลาบนั้น ไม่ควรนำมาปลูกเอาไว้ในบ้าน หรือนำมาประดับตกแต่งภายในบ้านโดยเด็ดขาด เพราะตามหลักฮวงจุ้ยถือว่าต้นไม้เหล่านี้นำมาซึ่งพลังงานด้านลบและความโชคร้าย

7. ต้นไม้ที่ตายแล้ว

          หากคุณเป็นคนที่ไม่ค่อยมีเวลามากพอที่จะดูแลต้นไม้ก็ไม่ควรเลี้ยง เพราะถ้าปล่อยให้มันเหี่ยวแห้ง ขาดน้ำ และยืนต้นตายอยู่ภายในบ้าน ก็เท่ากับว่าเป็นการเปิดทางให้สิ่งไม่ดีและความโชคร้ายก้าวเข้ามาในชีวิต

8. ผนังสีเขียว

          หลายคนอาจจะตกใจว่า สีเขียวเป็นสีธรรมชาติจะมีความหมายถึงสิ่งอัปมงคลได้อย่างไร ซึ่งต้องเท้าความไปในอดีตที่มีการนำสารหนูมาทาผนังให้เป็นสีเขียวและเมื่อผนังเริ่มแห้ง สารที่ทาไปจะปล่อยก๊าซพิษออกมาเพื่อฆ่าคน ดังนั้นจึงเกิดความเชื่อที่ว่าผนังสีเขียวเป็นผนังอัปมงคลนั่นเอง

9. เก้าอี้โยกที่ไม่ได้ใช้งาน

          บ้านไหนที่ได้รับเก้าอี้โยกมาเป็นมรดกตกทอดจากบรรพบุรุษมา แล้วไม่เคยได้ใช้งานเลย แถมยังตั้งเอาไว้ในบ้านเฉย ๆ รู้หรือไม่ว่านั้นเป็นหลักฮวงจุ้ยที่ผิดอย่างแรง เพราะมีความเชื่อที่ว่า หากปล่อยให้เก้าอี้โยกว่างเปล่าและไม่มีการใช้งาน พลังงานในด้านมืดก็จะมานั่งอยู่บนเก้าอี้แทนที่ ยิ่งถ้าร้ายไปกว่านั้นหากเก้าอี้เกิดโยกเอง แสดงว่ามีวิญญาณร้ายสิงอยู่และจะนำมาซึ่งความโชคร้ายหรือการสูญเสียภายในบ้าน

          เอาเป็นว่าใครที่กำลังพบเจอเรื่องร้าย ๆ ในชีวิต ก็ลองกลับไปสแกนภายในบ้านดูนะคะว่า มีสิ่งของที่เป็นอัปมงคลเหล่านี้อยู่ในบ้านหรือเปล่า ถ้ามีก็ควรจะรีบจัดการเอาออกนอกบ้านโดยด่วน อย่าปล่อยทิ้งไว้ให้เป็นตัวการขวางทางสิ่งดี ๆ ที่จะเข้ามาในบ้านของเราดีกว่าค่ะ

ขอขอบคุณข้อมูลจาก housebeautiful และ wikihow
http://home.kapook.com/view164580.html
เครดิตภาพ  https://www.pinterest.com/pin/193936327681114602/

Monday, January 23, 2017

8 ต้นไม้ปลูกแนวรั้ว สำหรับทำรั้วต้นไม้สวย ๆ บังลมบังแดด


รั้วต้นไม้ อยากมีรั้วต้นไม้สวย ๆ สำหรับบังลมบังแดดและบังสายตาจากผู้คนภายนอก มาดู 8 ต้นไม้ปลูกแนวรั้ว สำหรับสร้างรั้วต้นไม้สวย ๆ ช่วยให้บ้านดูดีตั้งแต่ภายนอก

          หากพูดถึงรั้วบ้านคนส่วนใหญ่มักจะนึกถึงรั้วเหล็กหรือผนังปูนที่มีความแข็งแรงคงทน แต่วันนี้กระปุกดอทคอมขอนำ 8 ต้นไม้เหมาะปลูกแนวรั้วมานำเสนอ สำหรับคนที่อยากมีรั้วต้นไม้สวย ๆ ไว้ล้อมรอบบ้าน บังลม บังแดด และบดบังสายตาจากผู้คนภายนอกให้ความรู้สึกเป็นส่วนตัวอย่างแท้จริง ว่าแล้วก็ตามไปชมต้นไม้ปลูกแนวรั้วสำหรับทำรั้วต้นไม้สวย ๆ กันเลย ว่ามีต้นอะไรบ้าง

1. ต้นไทรเกาหลี

          ไทรเกาหลี เป็นหนึ่งในต้นไม้ที่นิยมนำมาปลูกทำแนวรั้วบ้านมากที่สุด เนื่องจากลักษณะของต้นไทรเกาหลีจะออกใบหนาทึบ สูงได้เต็มที่ที่ประมาณ 5-6 เมตร ลำต้นแข็งแรง สามารถนำมาปลูกเรียงกันให้เป็นแนวกั้นรั้วได้ตามต้องการ ส่วนลักษณะทั่วไปไทรเกาหลีเป็นพืชในตระกูล ไทรมีลำต้นสีน้ำตาลปนสีเทา ออกใบสีเขียวเข้ม ใบเรียวยาวและกลมมนคล้ายหยดน้ำ  มีรากฝอยงอกออกจากกิ่งเช่นเดียวกับไทรทั่ว ๆ ไป ที่สำคัญไม่ค่อยผลัดใบจึงง่ายต่อการดูแล วิธีปลูกให้นำกล้าที่แข็งแรงสมบูรณ์มาปลูกลงในดินร่วน โดยเว้นระยะห่างให้พอเหมาะ ถ้าต้นมีความกว้าง 50 เซนติเมตร ให้นำมาปลูก 2 ต้น ในระยะ 1 เมตร ทำการกลบดินให้พูน รดน้ำปานกลางทั้งเช้าและเย็น อย่าให้มีน้ำขังโดยเฉพาะช่วงหน้าฝนและหน้าหนาว เน้นให้โดนแสงแดด บำรุงด้วยน้ำมะเขือเทศเล็กน้อย และหมั่นตัดแต่งกิ่งให้สวยงามอยู่เสมอ 


2. ต้นอโศกอินเดีย

          แม้ว่าที่มาของ ต้นอโศกอินเดียจะมาจากการที่นักบวชชาวคริสต์ นิกายโรมันคาทอลิก เป็นผู้ที่นำมาปลูกในไทย แต่เราก็คุ้นหน้าคุ้นตากับเจ้าไม้ยืนต้นประเภทนี้เป็นอย่างดี เพราะด้วยความสูงที่สูงได้ถึง 25 เมตร มียอดทรงพุ่มพีระมิด ออกใบสีเขียว เรียวยาวและหนาทึบ ลำต้นแข็งแรง ช่วยบังแดดบังลมได้ดี มันจึงถูกนำมาปลูกเพื่อทำเป็นแนวกั้นรั้วกันมาก โดยนำต้นกล้าที่แข็งแรงมาปลูกตามแนวรั้ว เว้นระยะให้ห่างกันประมาณ 1-2 เมตร ปลูกด้วยดินทั่ว ๆ ไป ดูแลรดน้ำปานกลาง แต่ถ้าในช่วงหน้าแล้งต้องรดน้ำมากกว่าปกติเพื่อป้องกันใบร่วง อย่าปล่อยให้มีน้ำขัง ชอบแดดจัด และหมั่นตัดแต่งยอดเพื่อควบคุมความสูงให้ได้ตามที่ต้องการ


3. ต้นไผ่

          หากใครที่อยากให้บ้านมีบรรยากาศสไตล์เซน (Zen) ดูเงียบสงบและร่มเย็น ปลูกต้นไผ่เอาไว้ทำแนวกั้นรั้วน่าจะเหมาะ ต้นไผ่จะขึ้นกอ ลำต้นมีลักษณะเป็นข้อปล้องและสูงเป็นพิเศษ ออกใบเรียวยาว ช่วยบังแดดและลมได้เป็นอย่างดี เป็นพืชที่มีหลากหลายสายพันธุ์ แต่ที่นิยมนำมาปลูกทำแนวกั้นรั้ว ได้แก่ ไผ่สีสุก ไผ่เตี้ย ไผ่ป่า ไผ่น้ำเต้า นอกจากนี้ไผ่ยังถือเป็นต้นไม้มงคลที่ส่งเสริมเรื่องโชคลาภและความสำเร็จอีกด้วย ก่อนปลูกควรพรวนหน้าดินตากแดดประมาณ 2 ครั้ง รองก้นหลุมดินด้วยปุ๋ยหมักและปุ๋ยคอก แล้วนำกิ่งไผ่หรือกอที่แยกไว้มาปลูก กลบดินให้แน่น ใช้ฟางคลุมหน้าดินเพื่อเก็บความชื้นและป้องกันวัชพืช ดูแลรดน้ำให้ชุ่มแต่อย่าแฉะในหน้าร้อน ส่วนหน้าฝนและหน้าหนาวควรรดน้ำแต่พอดี


4. ต้นเข็ม

          เรียกได้ว่าเป็นพืชที่ทุกคนรู้จักกันเป็นอย่างดี เพราะในดอกเข็มนั้นมีน้ำหวานล่อตาล่อใจให้เราอยากลิ้มรสชาติมาตั้งแต่เด็ก ๆ อีกทั้งยังถูกใช้เป็นสัญลักษณ์ในการเคารพบูชาครูผู้มีพระคุณอีกด้วย เพราะต้นเข็มมีลักษณะเป็นไม้ทรงพุ่ม มีใบขึ้นหนาทึบ ออกดอกรูปเข็มเป็นช่อ ๆ มีหลายสีด้วยกัน จึงนิยมนำมาปลูกทำเป็นแนวกั้นรั้วบ้าน นอกจากนี้ยังเป็นไม้มงคลเชื่อกันว่าจะช่วยส่งเสริมคนในบ้านให้มีสติปัญญาฉลาดหลักแหลม โดยนำต้นกล้ามาปลูกในหลุมดินร่วนที่ลึกประมาณ 30x30x30 เซนติเมตร รองก้นหลุมด้วยปุ๋ยคอกและแกลบ กะระยะต้นให้ชิด ๆ กันเป็นรั้วที่สมบูรณ์ ดูแลรดน้ำปานกลางสัปดาห์ละ 3-5 ครั้ง ชอบแดดจัด และบำรุงปุ๋ยปีละ 1 ครั้ง เพื่อให้ออกดอกสวยงาม

5. ต้นโมก

          ไม้ยืนต้นขนาดกลางอีกหนึ่งพันธุ์ที่เหมาะนำมาปลูกทำแนวกั้นรั้วบ้าน เพราะนอกจากจะมีกลิ่นหอมอ่อน ๆ ฟุ้งไปทั่วบริเวณบ้าน ต้นไม้สามารถเจริญเติบโตจนสูงได้ถึง 5-12 เมตร ออกใบทรงพุ่ม สีเขียว และเรียวยาว มีดอกสีขาวเป็นช่อ ทั้งยังเป็นต้นไม้มงคลที่ช่วยป้องกันภัยอันตรายให้พ้นไป สร้างความสุขกายสบายใจให้กับคนในบ้าน  วิธีปลูก ให้นำต้นกล้ามาปลูกลงในหลุมดินร่วนที่ผสมปุ๋ยคอก-ปุ๋ยหมักและขุยมะพร้าว ที่มีความลึก 30x30x30 เซนติเมตร เว้นระยะห่างระหว่างต้นประมาณ 30-40 เซนติเมตร รดน้ำปานกลางเพียงสัปดาห์ละ 1 ครั้งก็พอ ชอบความชื้นปานกลาง จะปลูกในที่ที่มีแดดรำไรหรือกลางแจ้งก็ได้

6. ต้นข่อย

          ไม้ยืนต้นขนาดกลางที่สามารถพบได้ทั่วไป ซึ่งข้อดีที่ว่าเลี้ยงง่ายและไม่ต้องดูแลให้ยุ่งยากนี่แหละ ที่ทำให้คนรักสวนนิยมนำมาทำเป็นรั้วบ้าน ต้นข่อยสามารถเจริญเติบโตได้เต็มที่ได้ถึง 5-15 เมตร มีลักษณะทรงพุ่ม ลำต้นแข็งแรง ออกใบหนาทึบ ออกดอกเป็นช่อ และยังมีสรรพคุณทางยาช่วยรักษาและบำรุงร่างกายได้ด้วย นิยมขยายด้วยการปักชำและเพาะเมล็ดก่อน จึงค่อยนำมาปลูกลงในหลุมดิน ดูแลง่าย รดน้ำปานกลาง สามารถเจริญเติบโตได้ทุกสภาพอากาศ และหมั่นตัดแต่งกิ่งก้าน เพื่อให้เป็นแนวรั้วตามที่ต้องการ

7. ต้นชาฮกเกี้ยน

          หากชื่อไม่คุ้นหู ให้ลองนึกถึงต้นไม้ริมถนนที่ถูกดัดให้เป็นรูปคนหรือรูปสัตว์ ด้วยลักษณะที่เป็นทรงพุ่ม ออกใบสีเขียวเข้มหนาทึบ ออกดอกสีขาว ลำต้นสูงประมาณ 2 เมตร และสามารถนำมาดัดให้เป็นรูปทรงต่าง ๆ ได้ จึงเหมาะแก่การนำมาปลูกเป็นแนวกั้นรั้วบ้าน ขยายพันธุ์ได้ 2 แบบคือ การปักชำและการเพาะเมล็ด เมื่อได้ต้นกล้าที่สมบูรณ์แล้วให้นำมาปลูกในหลุมดินร่วนที่ระบายน้ำได้ดี รองก้นหลุมด้วยปุ๋ยคอก เว้นระยะต้นละ 1 คืบ ดูแลรดน้ำในตอนเช้าเพียงครั้งเดียวหรือเมื่อสังเกตเห็นดินเริ่มแห้งเกินไป แต่อย่ารดจนน้ำขัง หมั่นตัดแต่งกิ่งก้านให้เป็นรูปรั้วอย่างที่ต้องการ

8. ต้นคริสติน่า

          “ต้นคริสติน่าเป็นต้นไม้ชื่ออินเตอร์ที่นิยมนำมาจัดสวนและปลูกทำแนวกั้นรั้ว มีลักษณะเป็นทรงพุ่มขนาดกลาง สูงได้เต็มที่ประมาณ 10 เมตร ออกใบสีเขียวหนาแน่นทั้งต้น ใบใหม่จะมีสีแดงช่วยปรับเปลี่ยนบรรยากาศในสวนให้มีสีสัน ปลูกโดยการนำต้นกล้าหรือต้นคริสติน่าที่แข็งแรงสมบูรณ์มาปลูกลงในหลุมดินที่ระบายน้ำได้ดี วางระยะให้เรียงต่อกันเป็นรั้วอย่างที่ต้องการ ดูแลรดน้ำปานกลางวันละ 1 ครั้ง หากเจอใบแห้งเหี่ยวให้ตัดทิ้งโดยด่วนและบำรุงปุ๋ย เพียงเท่านี้ต้นก็จะแตกยอดขึ้นมาใหม่

          พอจะมีต้นไม้ชนิดไหนบ้างไหมคะที่น่าสนใจนำมาปลูกทำรั้วที่บ้าน เอาเป็นว่าใครที่กำลังมองหาไอเดียทำรั้วบ้านหรือยังตัดสินใจเลือกวัสดุทำรั้วบ้านไม่ได้ ก็ลองนำต้นไม้ปลูกทำรั้วบ้านเหล่านี้ไปพิจารณากันดูนะคะ เพื่อให้ได้รั้วแบบธรรมชาติที่มีความสามารถเท่ากับรั้วทั่ว ๆ ไปยังไงล่ะ

ขอขอบคุณข้อมูลจาก ไทรเกาหลี, wikipedia,  nanagarden, thaiarcheep, pantip, puechkaset, NENE77, thaikasetsart, สำนักส่งเสริมการปลูกป่า กรมป่าไม้, ต้นไม้จัดสวน
http://home.kapook.com/view163870.html
cr. pic.  cr. pic. https://hive.blog/nature/@tangmo/updated-photos-of-plants-in




Wednesday, January 18, 2017

13 ของใช้ในบ้านที่หลายคนสงสัย ได้เวลาทำความสะอาดแล้วหรือยัง

  13 ของใช้ในบ้านที่หลายคนสงสัยว่า ทำความสะอาดบ่อยแค่ไหนถึงจะดี วันนี้เรามีคำตอบสำหรับความถี่และจำนวนในการทำความสะอาดสิ่งของในบ้านแต่ละชนิดมาบอกกันแล้ว
 

          การทำความสะอาดเป็นสิ่งที่คู่ควรกับบ้าน แต่ถ้าทำน้อยไปก็ถือว่าไม่ดีหรือทำมากไปก็อาจจะเกิดความเสียหายเอาได้ แล้วเราจะรู้ได้อย่างไรว่าสิ่งของชิ้นใดควรทำความสะอาดบ่อยแค่ไหนถึงจะเหมาะสม ไม่ใช่เรื่องยากค่ะ เพราะวันนี้กระปุกดอทคอมได้นำเอาข้อมูลที่เกี่ยวกับจำนวนครั้งในการทำความสะอาดสิ่งของต่าง ๆ อย่างเหมาะสมมาฝากกัน แล้วสิ่งของที่ว่านั้นจะมีอะไรบ้าง และควรทำความสะอาดบ่อยแค่ไหนกัน อยากรู้ตามไปดูกันเลย

1. ผ้าปูที่นอน

          แม้ว่าผ้าปูที่นอนจะเป็นสิ่งของที่ดูไม่ค่อยมีคราบ แต่ก็ใช่ว่ามันจะสะอาดปลอดภัยไร้เชื้อโรค ทั้งฝุ่นควันที่ลอยอยู่ในอากาศและคราบเหงื่อไคลจากร่างกาย ต่างก็ทำให้เกิดความสกปรกและอาจนำมาซึ่งกลิ่นเหม็นอับ ทางที่ดีควรทำความสะอาดโดยการซักผ้าปูที่นอนสัปดาห์ละ 1 ครั้ง ด้วยน้ำร้อนและอบลมร้อนอีกครั้งเพื่อให้มั่นใจว่าสะอาดอย่างแท้จริง วิธีนี้สามารถนำไปซักกับผ้านวมได้ด้วยนะ

2. หมอน

          การทำความสะอาดหมอนหนุนที่ดีนั้น ควรทำประมาณปีละ 2-3 ครั้ง หรือทุก ๆ 6 เดือน ด้วยการนำหมอนไปซักในเครื่องซักผ้า ใช้น้ำยาซักผ้าสูตรอ่อนโยน และนำไปอบในเครื่องอบผ้าอีกครั้งเพื่อฆ่าเชื้อโรคให้หมดไป คราวนี้จะหนุนหมอนนอนท่าไหน ก็ไม่ต้องกังวลเรื่องสิ่งสกปรกอีกต่อไปแล้ว

3. แผ่นรองนอน

          สิ่งของที่มีขนาดใหญ่อย่าง แผ่นรองนอน ไม่จำเป็นต้องทำความสะอาดบ่อยเป็นประจำทุกสัปดาห์หรือทุกเดือน แต่ควรทำความสะอาดอย่างน้อยปีละ 2 ครั้ง ด้วยการใช้เครื่องดูดฝุ่นดูดฝุ่นและไรฝุ่น แล้วใช้น้ำสบู่ถูและขัดคราบเบา จากนั้นนำผ้าชุบน้ำเย็นมาซับออก แต่อย่างไรก็ตามทางที่ดีควรจะเลือกซื้อผ้าปูที่นอนและแผ่นรองนอนที่มีคุณสมบัติในการช่วยป้องกันไรฝุ่น เพื่อป้องกันตั้งแต่ต้นลมดีกว่า

4. เตาอบและไมโครเวฟ

          ถ้าหากว่าไม่ค่อยได้ทำอาหารจากเตาอบบ่อยนัก บวกกับว่าไม่ค่อยมีคราบหนักให้ต้องรีบกำจัดโดยด่วน ก็ควรจะทำความสะอาดเตาอบทุก ๆ 6 เดือน แต่ถ้าใช้งานบ่อยแนะนำให้ทำความสะอาดสัปดาห์ละ 1 ครั้ง ด้วยการถอดตะแกรงและแผงรองอาหารด้านในไปแช่ในน้ำสบู่ที่ผสมน้ำร้อน จากนั้นนำน้ำสบู่ที่ผสมเบกกิ้งโซดามาพ่นภายในเตาอบให้ทั่ว ขยำกระดาษหนังสือพิมพ์ไปยัดไว้ที่ใต้ประตูเตาอบเพื่อกันสเปรย์ไหลลงพื้น ทิ้งไว้ 1 คืน หลังจากนั้นให้ผสมน้ำสบู่เหลวกับน้ำอุ่นมาเช็ดทำความสะอาดภายใน ตามด้วยผ้าชุบน้ำสะอาด ๆ เช็ดซ้ำอีกครั้งก็เป็นอันเสร็จ เปิดประตูระบายไว้สัก 2-3 วัน ให้กลิ่นน้ำยาทำความสะอาดระเหยไปก่อนจึงค่อยใช้งานต่อ

5. เคาน์เตอร์ครัว

          อาหารสารพัดชนิดที่เรานำมาปรุงในห้องครัว ต่างก็สร้างความสกปรกไม่ใช่น้อย โดยเฉพาะเคาน์เตอร์ครัว ดังนั้นทุกครั้งหลังปรุงอาหารเสร็จก็อย่าลืมเช็ดเคาน์เตอร์ครัวให้สะอาดด้วยนะคะ และทำความสะอาดครั้งใหญ่ทุก ๆ สัปดาห์ เน้นบริเวณอ่างล้างจานและรอบ ๆ เพราะส่วนนั้นมักจะมีเศษอาหารและสิ่งสกปรกกระเด็นมาติดอยู่มาก และสุดท้ายอย่าลืมซักทำความสะอาดฟองน้ำรวมไปถึงผ้าเช็ดอเนกประสงค์ในครัวด้วย เพื่อช่วยลดปริมาณเชื้อโรคให้น้อยลง

6. ตู้เย็น

          ถึงตู้เย็นสมัยใหม่จะมีระบบที่ช่วยป้องกันและกำจัดแบคทีเรียในตัว แต่เราก็ไม่ควรชะล่าใจเพราะอะไร ๆ ก็เกิดขึ้นได้ ไม่ต้องรอให้มีสัญญาณแจ้งเตือนการทำความสะอาด เราควรตั้งเวลาไว้เลยว่าต้องทำความสะอาดตู้เย็นเดือนละ 1 ครั้ง เพื่อความสะอาดและปลอดภัยของอาหารที่นำไปแช่

7. เครื่องซักผ้า

          แม้ว่าเครื่องซักผ้าจะช่วยกำจัดสิ่งสกปรกออกจากเสื้อผ้าได้ แต่สุดท้ายแล้วสิ่งสกปรกเหล่านั้นกลับมาตกอยู่ที่เครื่องซักผ้าซะเอง ไหนจะความชื้นที่ก่อให้เกิดเชื้อราและเชื้อแบคทีเรียอื่น ๆ อีกมากมาย อย่างเช่น ซาลโมเนลลา (Salmonella) และอีโคไล (E. coli.) หากปล่อยไว้เชื้อเหล่านี้ก็จะแพร่กระจายอยู่ภายในเครื่องจนลามไปติดเสื้อผ้า ทางที่ดีทุกครั้งที่ซักชุดชั้นใน ผ้าขี้ริ้ว หรือผ้าขาว แนะนำให้เปิดระบบน้ำร้อนและซักด้วยสารฟอกขาว จะได้ทำความสะอาดแบบยิงปืนนัดเดียวได้ทั้งเสื้อผ้าสะอาดและเครื่องซักผ้าสะอาดไปพร้อมกัน

8. วงกบหน้าต่างและรางประตู

          หลายคนมักจะละเลยการทำความสะอาดส่วนนี้ไป ซึ่งจริง ๆ แล้วมันก็เป็นแหล่งสะสมเชื้อโรคไม่แพ้ส่วนอื่นของบ้านเลยก็ว่าได้ ควรจะทำความสะอาดด้วยน้ำยาที่ผสมเองจากน้ำยาล้างจาน 5 หยด แอลกอฮอล์ 1 ช้อนชา และน้ำเปล่า 2 แกลลอน คนให้เข้ากัน ระหว่างนั้นต้องเปิดบานหน้าต่างและประตูให้อากาศถ่ายเทได้สะดวกด้วย จากนั้นนำฟองน้ำมาชุบส่วนผสมแล้วขัดถูวงกบให้ทั่ว ตามด้วยใช้ผ้าสะอาดหรือแผ่นกรองกาแฟเช็ดตามอีกครั้ง 

9. หน้าต่างมุ้งลวด

          นอกจากวงกบที่ต้องทำความสะอาดแล้ว หน้าต่างมุ้งลวดก็ต้องทำความสะอาดเช่นเดียวกัน โดยทำความสะอาดประมาณปีละ 1 ครั้ง ด้วยส่วนผสมของแอมโมเนีย 1 ส่วน และน้ำสะอาดอีก 3 ส่วน นำมาถูที่มุ้งลวด ตากทิ้งไว้ให้แห้ง ทั้งนี้ควรจะลงมือทำในพื้นที่ที่เปิดโล่ง มีอากาศถ่ายเทได้สะดวกด้วย เพื่อไม่ให้เหม็นกลิ่นแอมโมเนีย

10. พรม

          อย่างที่เรารู้กันดีว่า พรม เป็นแหล่งสะสมฝุ่นละออง ดังนั้นจะทำความสะอาดพรมบ่อยแค่ไหนก็ได้ ด้วยการใช้เครื่องดูดฝุ่นในขั้นพื้นฐาน แต่ก็ต้องมีการทำความสะอาดพรมครั้งใหญ่ ปีละ 1 ครั้งด้วย เริ่มจากฉีดพ่นสเปรย์ทำความสะอาดลงบนพรม แล้วใช้ไม้ถูพื้นระบบไอน้ำถูให้ทั่วเพื่อฆ่าเชื้อโรคต่าง ๆ ที่อยู่ในพรมให้หมดไป

11. กระเบื้องห้องน้ำ

          นอกจากสุขภัณฑ์ที่เราต้องรักษาความสะอาดอยู่เป็นประจำแล้ว กระเบื้องในห้องน้ำก็เป็นอีกหนึ่งส่วนที่ต้องทำความสะอาดอย่างจริงจังอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง เน้นบริเวณที่เลอะคราบปัสสาวะบ่อย ๆ ด้วยสเปรย์น้ำยาล้างจาน น้ำสบู่ผสมน้ำส้มสายชู และน้ำมะนาวผสมเบกกิ้งโซดา 

12. อ่างอาบน้ำ

          ใครที่ชอบนอนแช่ตัวในอ่างอาบน้ำคงต้องดูหน่อยแล้ว เพราะผลจากการวิจัยพบว่า สาเหตุหลักที่ทำให้เป็นโรคติดต่อทางผิวหนัง มาจากแบคทีเรียในอ่างอาบน้ำถึง 26% เมื่อเทียบกับถังขยะที่มีแค่ 6% ซึ่งมากกว่าหลายเท่าตัวจนน่ากลัว ถ้าไม่อยากอาบน้ำไปพร้อม ๆ กับเหล่าเชื้อโรคหรือแบคทีเรียที่ทำให้เสี่ยงติดเชื้อทางผิวหนัง ควรหมั่นทำความสะอาดอ่างอาบน้ำทุกสัปดาห์

13. เฟอร์นิเจอร์ไม้

          เฟอร์นิเจอร์ไม้มีราคาค่อนข้างสูงดังนั้นเราจึงต้องดูแลเรื่องความสะอาดอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง ด้วยการนำผ้าชุบน้ำบิดหมาดมาเช็ดทำความสะอาด 1 รอบ แล้วตามด้วยผ้าผืนแห้งเช็ดซ้ำอีกครั้ง ลงแว็กซ์คาร์นัวบา (Carnauba Wax) โดยเช็ดให้เป็นวงกลม ทิ้งไว้ 2-3 นาที เช็ดซ้ำด้วยผ้าสะอาด ๆ จนกว่าไม้จะเงางาม

          เป็นอย่างไรบ้าง มีใครทำความสะอาดได้ตามจำนวนครั้งที่ถูกต้องบ้างไหมคะ แต่ถ้าใครยังไม่แน่ใจว่าจะต้องทำความสะอาดบ่อยแค่ไหน ก็ลองนำข้อมูลที่นำมาฝากกันในวันนี้ไปลองปรับใช้ให้เหมาะสมด้วยนะคะ เพื่อความสะอาดภายในบ้าน

ขอขอบคุณข้อมูลจาก tiphero, Mydomaine และ Mentalfloss
http://home.kapook.com/view163273.html
เครดิตภาพ  https://www.pinterest.com/pin/227713324900702430/

Monday, January 16, 2017

วิธีไล่หนูออกจากบ้าน โดยไม่ต้องฆ่า


  วิธีไล่หนู 12 วิธีกำจัดหนูออกจากบ้าน โดยไม่ต้องฆ่า ใครขี้สงสารมาดูพร้อม ๆ กันว่า การไล่หนูโดยไม่ต้องฆ่า เราสามารถกำจัดหนูออกจากบ้านได้อย่างไรบ้าง

           หลายบ้านอาจจะเคยได้ยินเสียงร้องจี๊ด ๆ หรือเสียงฝีเท้าวิ่งไป-มาอยู่บนฝ้าเพดาน และอาจจะมีการทิ้งร่องรอยน่าสงสัยเอาไว้ให้ไม่สบายใจอยู่บ้าง ก็คงต้องลองสำรวจดูสักหน่อยแล้ว ว่าบ้านของคุณเข้าข่ายมี "หนู" อพยพกันมาอาศัยอยู่บ้างหรือไม่ และถ้าหากพบว่าภายในบ้านมีครอบครัวหนูมาอาศัยอยู่แล้ว ก็คงต้องมองหาวิธีไล่หนูกันสักหน่อย

           ซึ่งแม้ว่าจะมีกาวดักหนู และยาฉีดสำหรับไล่หนูวางขายอยู่ทั่วไป แต่บางคนอาจจะไม่อยากฆ่าแกงกันให้รู้สึกบาป ดังนั้นวันนี้เราจึงขอนำ วิธีไล่หนูแบบไม่ต้องฆ่า มาฝากไว้ให้ลองนำไปใช้กันดูนะคะ

1. น้ำมันก๊าด

           ไม่บอกก็รู้ว่า น้ำมันก๊าด มีกลิ่นรุนแรงขนาดไหน เพราะแม้แต่คนที่สูดดมเข้าไปมาก ๆ ก็ยังแอบเวียนหัวอยู่เหมือนกัน นับประสาอะไรกับหนูตัวเล็ก ๆ เมื่อเจอเข้ากับกลิ่นของน้ำมันก๊าด รับรองว่าเจ้าหนูทั้งหลายจะเข็ดขยาดจนไม่อยากอยู่ในบ้านหลังเดิมอีกต่อไปเลยล่ะ วิธีการก็แค่เทน้ำมันก๊าดใส่ถ้วยเล็ก ๆ ไปวางไว้ตามจุดที่คาดว่าหนูอาศัยอยู่เท่านั้นค่ะ หรือจะวางไว้กับแหล่งอาหารของหนูก็ได้ แต่ควรระวังอย่าใช้ในบ้านที่มีเด็ก และต้องหมั่นเปิดหน้าต่าง ประตู เพื่อระบายกลิ่นบ้างนะคะ และสามารถเปลี่ยนเป็นน้ำมันสน หรือน้ำมันกลิ่นฉุนอื่น ๆ ก็ได้

2. ลูกเหม็น

           กลิ่นของลูกเหม็นแม้จะไม่รุนแรงเท่าน้ำมันก๊าด แต่ก็เป็นกลิ่นที่ไม่รัญจวนใจนัก หนูทั้งหลายจึงไม่ค่อยสบอารมณ์กับกลิ่นของลูกเหม็นสักเท่าไหร่ หากนำลูกเหม็นไปวางไว้ในจุดที่คิดว่าหนูจะวนเวียนอยู่ เช่น ใกล้ถังขยะ ฝ้าเพดาน หรือมุมอับภายในครัว เท่านี้หนูก็จะเบื่อหน่ายกับกลิ่นจนอยากย้ายบ้านหนีไปเลย

3. เปิดไฟให้สว่าง

           เป็นอีกหนึ่งวิธีที่ง่ายแสนง่าย เพราะแสงไฟจะทำให้หนูแสบตา และไม่กล้าออกมาแสดงตัวมากนัก ซึ่งเมื่อไฟยังสว่างอยู่หนูก็จะกล้า ๆ กลัว ๆ ที่จะออกมาคุ้ยหาอาหาร หรือแทะข้าวของต่าง ๆ ให้พังเสียหาย ซึ่งผลที่ตามมาอาจจะต้องแลกด้วยค่าไฟที่เพิ่มขึ้นจนน่าใจหายอยู่เหมือนกัน

4. ประทัด

           นอกจากกลิ่นเหม็นแล้ว หนูก็ยังเป็นสัตว์ที่ขี้ตกใจพอสมควร ดังนั้นหากอยากไล่หนูให้แตกกระเจิง ลองซื้อประทัดมาจุดใกล้ ๆ รังหนู เพื่อให้ครอบครัวหนูตกใจกับเสียงประทัดจนต้องอพยพกันออกไป แต่การจุดประทัดก็ต้องใช้ความระมัดระวัง ทั้งตัวผู้จุดเองและอย่าไปโยนใส่ตัวหนูโดยตรง ไม่อย่างนั้นคงเป็นภาพที่สยองขวัญน่าดู

5. กรงดักหนู

           วิธีง่าย ๆ ที่นิยมใช้กันมานาน เพียงแค่ซื้อกรงดักหนู แล้วนำอาหารหรือเหยื่อล่อหนูใส่เข้าไป จากนั้นเมื่อหนูวิ่งเข้าไปในกรงแล้ว กรงก็จะปิดลง เราก็แค่นำหนูในกรงไปปล่อยไว้ให้ไกลบ้านมากที่สุด และต้องไกลจากบ้านคนอื่นด้วยนะคะ ไม่อย่างนั้นจะเป็นการสร้างความเดือดร้อนให้เพื่อนบ้านแทน

           ซึ่งเทคนิคในการวางกรงดักหนูก็คือ ให้วางมากกว่า 1 กรง และวางให้หันหลังชนกัน หนูจะได้เข้ามาติดกับได้ทั้งสองทาง อีกทั้งถ้ายิ่งวางติดกำแพงได้ก็ยิ่งดี เนื่องจากหนูมักวิ่งลัดเลาะแถว ๆ ริมกำแพงมากที่สุด และที่สำคัญเมื่อใช้กรงเสร็จแล้วให้ล้างจนสะอาดทุกครั้ง เพราะกลิ่นของหนูตัวเดิมจะทำให้หนูตัวใหม่ไม่เข้าใกล้กรงจ้า

6. เม็ดไล่หนู

           เม็ดไล่หนูก็ใช้หลักการเดียวกันกับการวางลูกเหม็น แต่แตกต่างกันตรงที่เม็ดไล่หนูจะมีลักษณะเป็นเม็ดสีดำ กลิ่นฉุน เมื่อนำไปวางไว้ใกล้จุดที่คาดว่าหนูจะออกมาปรากฏตัว จะทำให้หนูทนกลิ่นไม่ไหวและหนีหายไปในที่สุด ซึ่งเม็ดไล่หนูสามารถหาซื้อได้ที่ร้านทุกอย่าง 60 บาท แต่ข้อเสียก็คือกลิ่นฉุนอาจทำให้ผู้ใช้มึนได้เหมือนกันนะคะ

7. สมุนไพรไล่หนู

           ปัจจุบันมีสมุนไพรไล่หนูขายกันอยู่ทั่วไป สามารถหาซื้อได้ง่ายในซูเปอร์มาร์เกต โดยน้ำยาไล่หนูเหล่านั้น ถูกสกัดขึ้นจากสมุนไพรไทย ๆ อย่าง กะเพรา, สะระแหน่ หรือใบมะกรูด เป็นต้น ซึ่งข้อดีคือไม่มีพิษร้ายแรง และไม่เป็นอันตรายต่อผู้ใช้ แต่ข้อเสียคือมักมีอายุการใช้งานที่สั้น กลิ่นจางไว ทำให้ต้องใช้ในปริมาณมาก

8. ต้นยี่โถ

           กลิ่นของต้นยี่โถทำให้หนูไม่ค่อยชอบใจนัก ดังนั้นหากปลูกต้นยี่โถติดสวนเอาไว้สักต้นสองต้น แล้วตัดเอากิ่งยี่โถ ไปวางไว้ในบริเวณที่หนูชุกชุม หนูซึ่งมีจมูกไวก็จะได้กลิ่นรุนแรงจนทนไม่ไหว และอพยพย้ายถิ่นฐานกันไปในที่สุด แต่ข้อสำคัญคือต้องหมั่นเปลี่ยนกิ่งใหม่บ่อย ๆ เพราะเมื่อกิ่งยี่โถแห้งเหี่ยว กลิ่นก็จะจางลงค่ะ

9. เลี้ยงแมว

           เป็นวิธีง่าย ๆ ที่หลายบ้านนิยมทำกันมานาน ยิ่งโดยเฉพาะในปัจจุบันที่เทรนด์เลี้ยงแมวกำลังมาแรง ถ้าคุณเป็นคนรักสัตว์ แค่เลี้ยงแมวติดบ้านเอาไว้สักตัว แมวก็จะกำจัดโจทก์เก่าอย่างหนูให้หมดไปอย่างรวดเร็ว เพราะแค่หนูมองเห็นและได้กลิ่นแมวที่เลี้ยงไว้ ก็คงเตรียมเก็บข้าวเก็บของเผ่นออกจากบ้านแล้วล่ะจ้า

10. ทรายแมว

           หากบ้านไหนไม่อยากเลี้ยงแมวให้วุ่นวาย ทางแก้อีกวิธีก็คือลองหาทรายแมว ที่แมวฉี่ใส่เอาไว้แล้ว โดยอาจขอจากเพื่อนบ้านที่เลี้ยงแมวก็ได้ แล้วนำทรายแมวใส่ถุงผ้า ไปวางไว้ใต้เพดาน หรือบริเวณที่หนูเพ่นพ่าน หนูจะหลอนกับกลิ่นฉุนจากฉี่ของโจทก์เก่า จนไม่อยากย่างกรายผ่านมาอีกเลย แต่ทางที่ดีเลือกวางเฉพาะจุดดีกว่านะคะ ไม่อย่างนั้นคุณคงจะฉุนจนมึนตามหนูไปแน่ ๆ

11. ปิดทางเข้า

           ลองสำรวจรอบ ๆ บ้านดูสักหน่อย ว่ามีจุดไหนบ้างที่หนูสามารถเล็ดลอดเข้ามาได้ เช่น ซอกเล็กซอกน้อยบนหลังคา, รอยแยกบริเวณฝ้าเพดาน, รูกำแพง, ประตู-หน้าต่างห้องครัว หรือท่อน้ำ เป็นต้น แล้วจัดการปิดรอยรั่วเหล่านั้นให้หมดสิ้น อย่างน้อยก็เป็นการป้องกันไม่ให้หนูสามารถเล็ดลอดเข้ามาได้ง่าย ๆ

12. กำจัดแหล่งอาหาร

           การจัดการบ้านให้สะอาดหมดจด ไม่มีเศษอาหารตกค้าง จะเป็นการดีที่ทำให้หนูมองข้ามบ้านของคุณไปได้ง่าย ๆ เนื่องจากแหล่งอาหารของหนูถูกกำจัดจนหมดสิ้น ขืนอาศัยอยู่ในบ้านคุณต่อไปก็คงอดตายกันทั้งครอบครัวแน่ ๆ จากนั้นลองจัดบ้านให้โล่งและไม่มีมุมอับ จะได้หมดที่ซ่อนตัวของครอบครัวหนูด้วยจ้า

           ได้รู้จักกับวิธีไล่หนูแบบไม่ต้องฆ่ากันไปแล้ว ก็อย่าลืมลองนำวิธีเหล่านี้ไปลองใช้กันดูนะคะ ซึ่งบางวิธีก็อาจจะเหมาะกับหนูบางตัว ลองใช้หลาย ๆ วิธีเผื่อจะเจอทางออกที่ดีเข้าสักทาง หากใครมีวิธีดี ๆ ก็อย่าลืมแบ่งปันเพื่อน ๆ บ้างนะคะ ขอเป็นกำลังใจให้บอกลากับหนูได้ไว ๆ จ้า

เครดิตภาพ  https://www.pinterest.com/pin/379146862392986931/

Wednesday, January 11, 2017

ไม่ได้คิดไปเอง...9 สิ่งในบ้านนี่แหละ ที่ทำให้เกิดอาการคัน !




         อย่าปล่อยให้บ้านเป็นสถานที่ที่ไม่ปลอดภัยเพราะสิ่งของที่เราเคยไว้วางใจมาตลอดอีกเลย ไปดูกันดีกว่าว่ามีสิ่งของอะไรบ้างที่ทำให้เกิดอาการคันและภูมิแพ้ เพื่อจะได้หลีกเลี่ยงจากมันซะ

          เคยสังเกตไหมว่า ขนาดอยู่ในบ้านแท้ ๆ ทำไมถึงเกิดอาการคันตามผิวหนังขึ้นมาได้ ไม่ได้คิดไปเองหรอก...เพราะภายในบ้านของทุกคนต่างก็มีตัวการที่ทำให้เกิดอาการคัน นอกจากยุงแล้ว ก็เหล่าสิ่งของใกล้ตัวทั้ง 9 อย่างนี่แหละที่เราต้องสัมผัสและใกล้ชิดอยู่ทุกวัน ถ้าไม่อยากให้คนในบ้านต้องเผชิญกับอาการคันและโรคภูมิแพ้ แนะนำว่าให้หลีกเลี่ยงทั้ง 9 อย่างนี้ซะ

1. เทียนหอม

          แม้เทียนหอมจะช่วยปรับอากาศในบ้านให้มีกลิ่นหอมและรู้สึกผ่อนคลาย แต่มีอันตรายที่แฝงมาจากสารเบนซินและสารโทลูอีนที่ถูกใช้ในกระบวนการอุตสาหกรรม ซึ่งเสี่ยงทำให้เกิดอาการหอบหืดได้ง่าย นอกจากนี้ยังมีสารอินทรีย์ระเหยง่าย (VOCs : Volatile organic compounds) ที่เป็นพิษต่อสิ่งแวดล้อม ที่เป็นอันตรายต่อระบบทางเดินหายใจและระคายเคืองต่อดวงตา ดังนั้นสิ่งที่ควรทำหลังจากจุดเทียนก็คือ เมื่อกลิ่นหอมเริ่มกระจายไปทั่วห้องแล้ว ก็ให้รีบดับเทียนทันที จะช่วยลดปริมาณของสารพิษได้

2. สเปรย์ปรับอากาศและเครื่องทำละอองน้ำ

          เพราะสารเคมีที่พ่นออกมาจากสเปรย์ปรับอากาศและเครื่องทำละอองน้ำนั้น เป็นสารเคมีชนิดเดียวกับเทียนหอม ซึ่งทำให้เกิดอาการแพ้และอาการคัน โดยเฉพาะสารอินทรีย์ระเหยง่าย (VOCs : Volatile organic compounds) เป็นสารพิษ ต้นเหตุหลักที่ทำให้เกิดอาการหอบหืด

3. หมอนและแผ่นรองนอน

          ใช่ว่าห้องนอนจะปลอดภัยไปเลยซะทีเดียว เพราะบรรดาหมอนและแผ่นรองนอนเป็นแหล่งสะสมของฝุ่นและสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่าไรฝุ่นซึ่งเป็นสาเหตุหลัก ๆ ที่ทำให้ผิวหนังแห้ง เป็นสะเก็ดและเกิดอาการคันตามมา ยิ่งคนที่เป็นภูมิแพ้ด้วยแล้วจะทำให้อาการกำเริบได้ง่าย ทางที่ดีควรทำความสะอาดทุกสัปดาห์ด้วยการนำหมอนและแผ่นรองนอนไปซักในน้ำร้อนอุณหภูมิ 60 องศาเซลเซียส และหาซื้อปลอกหมอนรวมไปถึงผ้าคลุมที่มีคุณสมบัติป้องกันไรฝุ่นมาสวมใส่ก็จะช่วยป้องกันไม่ให้เกิดอาการคันและภูมิแพ้ได้

4. ตุ๊กตาและของเล่น

          สิ่งของชนิดนี้ก็ก่อให้เกิดอาการคันเช่นเดียวกับหมอนและแผ่นรองนอน นอกจากจะเป็นแหล่งสะสมฝุ่นชั้นดีแล้ว ตุ๊กตาและของเล่นที่มีผิวสัมผัสนุ่มนิ่มเหล่านี้ ยังนำมาซึ่งอาการคันผิวหนังอีกด้วย โดยเฉพาะคนที่เป็นโรคภูมิแพ้อยู่แล้ว ก็จะยิ่งเป็นอันตรายเข้าไปใหญ่ ดังนั้นจึงควรหมั่นทำความสะอาดบ่อย ๆ โดยการนำไปซักในน้ำร้อนอุณหภูมิ 60 องศาเซลเซียส ประมาณเดือนละครั้ง

5. ผ้าเช็ดตัว

          เรียกได้ว่าเป็นของใกล้ตัวที่หลีกเลี่ยงได้ยากจริง ๆ เพราะเป็นสิ่งที่ต้องใช้ทุกวัน หากไม่ได้ทำความสะอาดนาน ๆ หรือนำมาใช้ต่อทั้ง ๆ ที่ผ้าเช็ดตัวยังชื้น เมื่อเรานำไปเช็ดร่างกาย ผิวหนังก็จะเริ่มมีอาการระคายเคืองและคันตามมา ยิ่งถ้าเป็นช่วงหน้าหนาวด้วยแล้ว ผิวจะแห้งเป็นพิเศษและจะทำให้รู้สึกคันยุบยิบเข้าไปใหญ่ ดังนั้นควรนำไปซักอย่างน้อยสัปดาห์ละ 1 ครั้ง หรือหลังจากใช้ประมาณ 6 ครั้ง เพื่อลดการก่อตัวของแบคทีเรีย 

6. สัตว์เลี้ยง

          คงน่าเศร้าใจไม่น้อย ถ้าหากคนรักสัตว์ต้องมาแพ้สัตว์เลี้ยงซะเอง ซึ่งสาเหตุเกิดจากสะเก็ดผิวหนังเล็ก ๆ ของน้องหมาและน้องแมวมักจะหลุดปลิวไปในอากาศ และเมื่อเราสัมผัสหรือหายใจเข้าไปก็เสี่ยงก่อให้เกิดอาการคันผิวหนัง หายใจผิดปกติ และอาการอื่น ๆ ที่จะตามมา ถ้ายังอยากมีสัตว์เลี้ยงอยู่เคียงข้างตลอดไป ก็ต้องหมั่นทำความสะอาดแผ่นกรองอากาศของเครื่องปรับอากาศ ทำความสะอาดเศษขยะกับฝุ่นในบ้าน สร้างที่อยู่นอกบ้านให้สัตว์เลี้ยง และไม่นำสัตว์เข้ามาห้องนอน ก็จะช่วยลดสาเหตุของอาการเหล่านี้ลงได้

7. โซฟาหนัง

          เราอาจจะไม่ค่อยได้ยินกันบ่อยว่า โซฟาหนังคือสาเหตุที่ทำให้เกิดภูมิแพ้ผิวหนัง ขอยืนยันอีกเสียงว่าเป็นเรื่องจริง เนื่องจากโซฟาหนังหรือเฟอร์นิเจอร์บุหนังมีการนำสารไดเมธิลฟูมาเรท (Dimethyl fumarate) มาใช้เพื่อป้องกันเชื้อรา และสารนี้เองที่เป็นสาเหตุทำให้เกิดอาการแพ้เมื่อเราไปสัมผัส โดยเฉพาะคนที่เป็นโรคภูมิแพ้ก็อาจทำให้เกิดอาการคัน จาม หรือมีผื่นที่ผิวหนังได้

8. เครื่องดูดฝุ่น

          แทบไม่อยากเชื่อเลยใช่ไหมว่า เครื่องดูดฝุ่น จะเป็นตัวการที่ทำให้เกิดอาการคันและโรคภูมิแพ้ได้ แม้เครื่องดูดฝุ่นจะช่วยกำจัดฝุ่นได้ก็จริง แต่ก็อย่าลืมนึกไปว่าเครื่องดูดฝุ่นนี่แหละคือแหล่งสะสมฝุ่นตัวยงเลย เอาเป็นว่าถ้าบ้านไหนจำเป็นที่จะต้องใช้เครื่องดูดฝุ่นก็ขอให้ตรวจเช็กก่อนจะซื้อว่า เครื่องดูดฝุ่นนั้นมีมาตรฐานรับรองแผ่นกรองฝุ่นด้วยหรือไม่ และหมั่นทำความสะอาดตัวเครื่องและไส้กรองบ่อย ๆ เพื่อลดสาเหตุที่ทำให้เกิดอาการคัน

9. ต้นไม้

          ถึงแม้ต้นไม้ที่ใช้ปลูกในอาคารจะช่วยฟอกอากาศและปรับบรรยากาศในบ้านให้สดชื่นได้ก็จริง แต่ความชื้นที่อยู่ในดินซึ่งรวมไปถึงสวนขวดด้วยนั้น คือตัวการสำคัญที่ทำให้เกิดอาการแพ้และคันผิวหนัง บางครั้งการปลูกต้นไม้ในบ้านก็อาจกลายเป็นแหล่งเพาะเชื้อราชั้นดี หากมีคนเป็นภูมิแพ้จึงควรเลี่ยงการปลูกต้นไม้ในบ้านจะดีกว่า ถ้าคนในบ้านเป็นโรคภูมิแพ้อยู่แล้วก็จะทำให้เกิดอาการคันตามผิวหนัง หายใจติดขัด และอาการแพ้อื่น ๆ อีกก็เป็นได้

          สิ่งของที่เรานำมาบอกต่อกันในวันนี้อาจจะทำให้ใครหลายคนตกใจ เพราะมันใกล้ตัวมากกว่าที่คิด ถ้าไม่อยากให้คนในบ้านเจ็บป่วยเพราะสิ่งของเหล่านี้ ก็ควรหลีกเลี่ยงและทำตามคำแนะนำกันด้วยนะคะ เพื่อสุขภาพที่ดีของทุกคนในบ้าน

ขอขอบคุณข้อมูลจาก housebeautiful และ prevention
เครดิตภาพ  http://home.kapook.com/view163265.html

Tuesday, January 10, 2017

ผักสวนครัวประจำ 12 ราศี ปลูกแล้วอยู่ดีกินดีตลอดปี




      ผักนำสารอาหารมาให้ร่างกายหลายอย่าง แต่ถ้าอยากให้ชีวิตดียิ่งกว่ามาดูกันหน่อยว่าราศีของคุณควรปลูกผักอะไร เพื่อให้ชีวิตอยู่ดีกินดีสุขภาพแข็งแรงตลอดปี
 

       พืชผักสวนครัวแต่ละชนิดก็มีประโยชน์กันไป แต่หากจะให้ดีเปลี่ยนมาปลูกผักสวนครัวตามราศีกันดีกว่า วันนี้กระปุกดอทคอมเลยขอรวบรวมพืชผักสวนครัวประจำ 12 ราศีมาฝาก เพื่อให้ทุกคนมีชีวิตที่อยู่ดีกินดี มีความสุข แข็งแรงทั้งกายใจตลอดปี ชักอยากจะรู้แล้วสิว่าผักสวนครัวประจำราศีเราคือต้นอะไร หรือคนที่เกิดในแต่ละเดือนต้องปลูกต้องกินผักชนิดไหนบ้าง

1. ราศีเมษ (21 มีนาคม - 19 เมษายน)

       เนื่องจากชาวเมษมีดาวอังคารเป็นดาวประจำราศี พืชผักที่จะนำมาปลูกควรเป็นต้นที่มีหนามแหลม หรือมีรสชาติออกขม เผ็ดร้อน ถ้าหากมีสีแดงด้วยจะดีมาก นอกจากนี้ยังเป็นราศีที่ค่อนข้างคิดเยอะเครียดง่าย จนอาจทำให้ปวดศีรษะบ่อยครั้ง ดังนั้นผักที่นำมาปลูกควรช่วยบำรุงให้ระบบไหลเวียนโลหิตดีขึ้นและช่วยเสริมธาตเหล็กไปในตัว เช่น ผักกาด หัวหอม กระเทียม พริกแดง ต้นหอม จิงจูฉ่าย ขิง มะเขือเทศ และผักชี

2. ราศีพฤษภ (20 เมษายน - 20 พฤษภาคม)


       ราศีพฤษภมีดาวศุกร์เป็นดาวประจำราศี ที่ถือเป็นดาวแห่งการสร้างสรรค์และความสวยงาม แต่มักจะเป็นราศีที่มีปัญหาเรื่องช่องคอและหู พืชผักที่จะช่วยบรรเทาอาการเจ็บคอ สามารถกลืน และย่อยอาหารได้ดีขึ้น ได้แก่ ชะเอม ผักโขม ผักชีฝรั่ง ผักชี หัวหอม และตังกุย

3. ราศีเมถุน (21 พฤษภาคม - 20 มิถุนายน)

       ราศีเมถุนเป็นราศีที่อยู่ในธาตุลมมีดาวพุธเป็นดาวประจำราศี ซึ่งเป็นราศีที่มีปัญหาเรื่องปอด หัวไหล่ แขน และมือ หากคิดจะหาต้นไม้มาปลูกสักต้นควรจะเป็นต้นที่มีใบเลี้ยงเดี่ยวและมีกลิ่นหอมอ่อน ๆ เช่น แครอท มะเขือเทศ ผักชีลาว ยี่หร่าฝรั่ง และชะเอมเทศ ที่นอกจากจะช่วยขับไล่อาการปวดเมื่อยต่าง ๆ แล้ว ยังสามารถบรรเทาความเครียดไปพร้อมกันได้ด้วย

4. ราศีกรกฎ (21 มิถุนายน - 22 กรกฎาคม)

       ชาวราศีกรกฎเป็นราศีแห่งธาตุน้ำมีดวงจันทร์เป็นดาวประจำราศี ปัญหาสุขภาพที่พบเจอได้บ่อยสำหรับชาวราศีนี้ ได้แก่ โรคกระเพาะอาหาร หลอดอาหาร ตับ กะบังลม และการทำงานของระบบย่อยที่ผิดปกติ ให้เลือกผักสวนครัวประเภทฉ่ำน้ำมาปลูก ได้แก่ ผักกาดชนิดต่าง ๆ ดอกกะหล่ำ กะหล่ำปลี บลอกโคลี คะน้า เห็ด แตงกวา น้ำเต้า ฟักทอง และสะระแหน่ เป็นต้น

5. ราศีสิงห์ (23 กรกฎาคม - 22 สิงหาคม)

       ราศีสิงห์อยู่ในธาตุไฟและมีพระอาทิตย์เป็นดาวประจำราศี มีสัญลักษณ์เป็นสิงโตที่เปรียบเสมือนหัวใจหลักของป่า ดังนั้นชาวราศีสิงห์จึงจำเป็นที่จะต้องดูแล หัวใจ ความดันโลหิต และเรื่องไขมันเป็นพิเศษ ซึ่งสามารถบำรุงด้วยพืชผักที่มีสีเหลืองทองหรือสีส้ม เช่น ข้าวโพดอ่อน แครอท มะเขือเทศ ขิง และโป๊ยกั๊ก

6. ราศีกันย์ (23 สิงหาคม - 22 กันยายน)

       ชาวราศีกันย์เป็นราศีแห่งธาตุดิน มีดาวพุธเป็นดาวประจำราศี และที่สำคัญยังถือเป็นเทพแห่งพืชพรรณ จึงเหมาะแก่การปลูกผักสวนครัวชนิดที่มีใบเป็นแฉก ส่งกลิ่นหอมอ่อน ๆ หรือมีขนาดลำต้นค่อนข้างเล็ก ซึ่งจะส่งผลดีที่สุดกับชาวราศีนี้หากเป็นพืชที่มีธาตุโพแทสเซียมสูงและช่วยลดความเครียดไปพร้อมกัน เช่น แครอท ขิง สะระแหน่ ผักชีลาว และธัญพืช

7. ราศีตุลย์ (23 กันยายน - 22 ตุลาคม)

       อีกหนึ่งราศีที่จัดว่าอยู่ในธาตุลม มีดาวศุกร์เป็นดาวประจำราศี ชาวราศีนี้เป็นพวกที่เครียดง่าย ส่งผลให้ปวดเมื่อยตามกล้ามเนื้อ และมีปัญหากับระบบย่อยอาหารอยู่บ่อยครั้ง ดังนั้นเหมาะกับการปลูกพืชผักที่กินแล้วช่วยให้รู้สึกสดชื่น กระปรี้กระเปร่า และบำรุงร่างกายด้วยบรอกโคลี มะเขือม่วง ถั่ว ผักสลัดน้ำ ขิง แครอท กระเทียม และสะระแหน่

8. ราศีพิจิก (23 ตุลาคม - 21 พฤศจิกายน)

       ราศีพิจิกถือว่าเป็นราศีแห่งธาตุน้ำ มีดาวอังคารเป็นดาวประจำราศี ผักสวนครัวที่ควรนำมาปลูกจึงควรมีหนามแหลมและมีสีแดง หรือพืชพรรณที่กินแล้วช่วยปรับสมดุลฮอร์โมนในร่างกาย อย่างเช่น เห็ด พริก ฟักทอง สะเดา หัวหอม ต้นหอม กระเทียม โหระพา ขิง และผักชี ซึ่งผักสวนครัวเหล่านี้ยังช่วยทำให้รอบเดือนมาเป็นปกติ พร้อมทั้งมีสารอาหารที่ช่วยบำรุงครรภ์ของคุณแม่ที่ตั้งท้องด้วย


9. ราศีธนู (22 พฤศจิกายน - 21 ธันวาคม)

       ราศีธนูเป็นราศีที่อยู่ในธาตุไฟ มีดาวพฤหัสบดีเป็นดาวประจำราศี พืชผักสวนครัวที่ชาวราศีนี้จะนำมาปลูกควรมีขนาดใหญ่ เด่นสะดุดตา มีกลิ่นหอม และควรเป็นผักที่ช่วยบำรุงตับและประกอบด้วยธาตุซิลิกาสูง อย่างเช่น หน่อไม้ฝรั่ง มะเขือเทศ ผักสลัดน้ำ โป๊ยกั๊ก จันทน์เทศ และสะระแหน่

10. ราศีมังกร (22 ธันวาคม - 19 มกราคม)

       ราศีแห่งธาตุดินอย่างราศีมังกรและมีดาวเสาร์เป็นดาวประจำราศี ต้องปลูกผักที่มีพื้นผิวตะปุ่มตะป่ำและมีกลิ่นฉุน เน้นพืชพรรณที่เจริญเติบโตช้าและมีอายุยืนยาว ที่สำคัญควรเป็นพืชที่มีแคลเซียมสูง เพื่อบำรุงหัวเข่า ข้อต่อ กระดูก และฟัน ได้แก่ ผักโขม เห็ด บีท หัวผักกาด และธัญพืชต่าง ๆ

11. ราศีกุมภ์ (20 มกราคม - 18 กุมภาพันธ์)

       ราศีกุมภ์ถือว่าเป็นหนึ่งในธาตุลม มีดาวยูเรนัสเป็นดาวประจำราศี เหมาะกับการปลูกผักที่อุดมไปด้วยน้ำหรือปลูกในน้ำ เพื่อบำรุงระบบไหลเวียนของเลือดในร่างกาย ช่วยให้รู้สึกผ่อนคลาย ลดความตึงเครียด และบำรุงระบบหายใจ ได้แก่ ผักโขม ผักกาด มะเขือเทศ  เห็ด ถั่ว มันฝรั่ง และกานพลู

12. ราศีมีน (19 กุมภาพันธ์ - 20 มีนาคม)


       ราศีมีนจัดว่าอยู่ธาตุน้ำ มีดาวพฤหัสบดีเป็นดาวประจำราศี ซึ่งเป็นราศีที่มีภูมิคุ้มกันต่ำ มักมีปัญหาเกี่ยวกับผิวหนัง และอวัยวะส่วนล่างบ่อย ฉะนั้นพืชผักสวนครัวที่ควรปลูกจึงต้องมีลักษณะผลหรือลำต้นใหญ่ เป็นพันธุ์ที่ค่อนข้างหายาก และมักขึ้นอยู่ตามริมชายฝั่งทะเล ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้กับร่างกาย ต่อต้านเชื้อแบคทีเรีย ได้แก่ หน่อไม้ฝรั่ง เห็ด มะเขือเทศ ผักสลัดน้ำ จิงจูฉ่าย จันทน์เทศ และกานพลู

       คิดจะเปลี่ยนสวนหน้าบ้านให้เป็นแปลงผักสวนครัวทั้งที เราก็ต้องคัดสรรพืชผักให้ตรงราศีเกิดของคนในบ้านด้วยก็จะดี อย่างที่เรานำมาฝากกันในวันนี้ เมื่อสุขภาพดีหาได้จากผักสวนครัวที่เราปลูกให้ตรงกับราศี แล้วสุขภาพดี ๆ ก็จะอยู่กับเราไปอีกนาน

ขอขอบคุณข้อมูลจาก tarot, gardeningbythemoon และ homeoint
http://home.kapook.com/view138006.html
เครดิตภาพ  http://home.kapook.com/view138006.html